รู้ไว้ใช่ว่าThursday, December 4th, 2025 at 10:47am
ปรากฏการณ์ ฝาชีครอบเมือง คืออะไร?
เมื่อ “อากาศเย็น” เจอกับ “ลมอ่อน” จะเกิดปรากฎการณ์ “ฝาชีครอบเมือง” ทำให้ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์และการเผา ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสูง เพื่อระบายออกไปได้ จึงถูกกักขังอยู่เหนือพื้นดินในระดับที่เราหายใจ ฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็น เมื่อสะสมมาก จะทำให้อากาศขุ่นมัวคล้ายหมอกควัน เกิดจากการเผาไหม้ต่างๆ เช่น ควันรถ การเผา ทางการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม เมื่อสูดดม อาจทำให้ ไอ คันคอ แสบจมูก ระคายเคืองผิวหนัง และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวันทุกช่วงเวลา
Cr. NBT
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
เมื่อ “อากาศเย็น” เจอกับ “ลมอ่อน” จะเกิดปรากฎการณ์ “ฝาชีครอบเมือง” ทำให้ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์และการเผา ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสูง เพื่อระบายออกไปได้ จึงถูกกักขังอยู่เหนือพื้นดินในระดับที่เราหายใจ ฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็น เมื่อสะสมมาก จะทำให้อากาศขุ่นมัวคล้ายหมอกควัน เกิดจากการเผาไหม้ต่างๆ เช่น ควันรถ การเผา ทางการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม เมื่อสูดดม อาจทำให้ ไอ คันคอ แสบจมูก ระคายเคืองผิวหนัง และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวันทุกช่วงเวลา
Cr. NBT
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, December 3rd, 2025 at 8:15am
“7 วิธี” ดูแลปอด ให้ปอดแข็งแรง ++
ปอดคืออวัยวะหนึ่งที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งใช้ในการหายใจและหน้าที่หลักคือ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย ดังนั้นการดูแลปอดให้ดีและแข็งแรง จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นแข็งแรงตามไปด้วย
วิธีการดูแลปอดที่เราสามารถทำได้เอง คือ
1.รับประทานอาหารบำรุงปอด
อาหารที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เช่น แอปเปิ้ล บร็อคโคลี เนื้อสัตว์ ถั่ว ชา ขิง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลซิตรัส
2.ออกกำลังกายบริหารปอด
การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยลดความอ้วนหรือทำให้มีกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ทำให้สุขภาพปอดแข็งแรงได้ เวลาที่ออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น และปอดก็จะทำงานหนักขึ้น ร่างกายจึงต้องการออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงมากขึ้นเช่นกัน ปอดจึงนำออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ แล้วกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และนั่นก็คือการบริหารการทำงานของปอดนั่นเอง
3.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายปอด
ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้ห่างไกลจากปัจจัยที่ทำลายปอด หรือส่งผลกระทบต่อระบบภูมิต้านทานโดยตรง โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพปอดเรื้อรังมากกว่าคนที่ไม่สูบ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคปอดบวม โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง ฯลฯ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงในโรคติดเชื้อในปอด เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้กลไกป้องกันการติดเชื้อของปอดลดลง รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการสูดดมกลิ่นควันรถยนต์และมลภาวะ ซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย หากสูดดมเป็นระยะเวลานาน อาจมีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปอดได้
4.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18-64 ปี ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละประมาณ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้อวัยวะสำคัญได้ทำงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนอนหลับเกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไร้ท่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คนที่อดนอนหรือนอนดึกติดต่อกันเป็นเวลานาน มักมีปัญหาด้านสุขภาพและสภาพจิตใจ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง เจ็บป่วยได้ง่าย รู้สึกอ่อนเพลียในเวลากลางวัน และอาจเกิดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจได้อีกด้วย
5.ดื่มน้ำให้ปอดชุ่มชื้น
การดื่มน้ำเปล่าสะอาดถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย เราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือประมาณวันละ 6-8 แก้ว เนื่องจากน้ำจะช่วยบำรุงปอดให้ชุ่มชื้น ทำให้ปอดไม่แห้ง เพราะหากปอดแห้งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในปอด เมื่อปอดขาดน้ำและมีอุณหภูมิสูง ก็มักทำให้ปอดติดเชื้อได้ง่าย ส่งผลให้ภูมิต้านทานตก มีอาการหิวน้ำ ไอแห้ง ๆ มีไข้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจในเวลาต่อมาได้เช่นกัน
6.รักษาปอดให้อบอุ่นอยู่เสมอ
หากอยู่ในสถานที่มีอากาศหนาวเย็น ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ หรือห่มผ้าให้มิดชิด เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ปอดอยู่เสมอ เนื่องจากเมื่ออากาศแห้งและเย็นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ปอดของเราระคายเคือง อาจส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจหอบ เหนื่อยง่าย บางครั้งอาจมีเสียงหวีดขณะหายใจ หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจเป็นปวดบวม ปอดชื้น และปอดติดเชื้อ จนมีอาการทางระบบหายใจที่รุนแรงมากขึ้น การทำให้ปอดอบอุ่นอยู่เสมอจึงถือเป็นวิธีดูแลปอดให้แข็งแรงที่ไม่ควรมองข้าม
7.หายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ
กระบวนการหายใจจำเป็นต้องพึ่งพาปอดเป็นหลัก เนื่องจากเมื่อหายใจเข้า จะนำออกซิเจนเข้าไปในปอดและเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อหายใจออก ปอดก็จะเป็นการนำคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกจากร่างกาย โดยสามารถช่วยดูแลปอดให้แข็งแรงได้ในทุกวัน ผ่านการฝึกหายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง เพื่อบริหารปอด กระบังลม และกล้ามเนื้อทรวงอก เนื่องจากการสูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ จะทำให้ปอดได้ขยายตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หายใจได้สะดวกขึ้นนั่นเอง
Cr. โรงพยาบาลบางปะกอก 3
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
ปอดคืออวัยวะหนึ่งที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งใช้ในการหายใจและหน้าที่หลักคือ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย ดังนั้นการดูแลปอดให้ดีและแข็งแรง จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นแข็งแรงตามไปด้วย
วิธีการดูแลปอดที่เราสามารถทำได้เอง คือ
1.รับประทานอาหารบำรุงปอด
อาหารที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เช่น แอปเปิ้ล บร็อคโคลี เนื้อสัตว์ ถั่ว ชา ขิง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลซิตรัส
2.ออกกำลังกายบริหารปอด
การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยลดความอ้วนหรือทำให้มีกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ทำให้สุขภาพปอดแข็งแรงได้ เวลาที่ออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น และปอดก็จะทำงานหนักขึ้น ร่างกายจึงต้องการออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงมากขึ้นเช่นกัน ปอดจึงนำออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ แล้วกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และนั่นก็คือการบริหารการทำงานของปอดนั่นเอง
3.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายปอด
ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้ห่างไกลจากปัจจัยที่ทำลายปอด หรือส่งผลกระทบต่อระบบภูมิต้านทานโดยตรง โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพปอดเรื้อรังมากกว่าคนที่ไม่สูบ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคปอดบวม โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง ฯลฯ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงในโรคติดเชื้อในปอด เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้กลไกป้องกันการติดเชื้อของปอดลดลง รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการสูดดมกลิ่นควันรถยนต์และมลภาวะ ซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย หากสูดดมเป็นระยะเวลานาน อาจมีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปอดได้
4.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18-64 ปี ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละประมาณ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้อวัยวะสำคัญได้ทำงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนอนหลับเกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไร้ท่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คนที่อดนอนหรือนอนดึกติดต่อกันเป็นเวลานาน มักมีปัญหาด้านสุขภาพและสภาพจิตใจ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง เจ็บป่วยได้ง่าย รู้สึกอ่อนเพลียในเวลากลางวัน และอาจเกิดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจได้อีกด้วย
5.ดื่มน้ำให้ปอดชุ่มชื้น
การดื่มน้ำเปล่าสะอาดถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย เราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือประมาณวันละ 6-8 แก้ว เนื่องจากน้ำจะช่วยบำรุงปอดให้ชุ่มชื้น ทำให้ปอดไม่แห้ง เพราะหากปอดแห้งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในปอด เมื่อปอดขาดน้ำและมีอุณหภูมิสูง ก็มักทำให้ปอดติดเชื้อได้ง่าย ส่งผลให้ภูมิต้านทานตก มีอาการหิวน้ำ ไอแห้ง ๆ มีไข้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจในเวลาต่อมาได้เช่นกัน
6.รักษาปอดให้อบอุ่นอยู่เสมอ
หากอยู่ในสถานที่มีอากาศหนาวเย็น ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ หรือห่มผ้าให้มิดชิด เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ปอดอยู่เสมอ เนื่องจากเมื่ออากาศแห้งและเย็นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ปอดของเราระคายเคือง อาจส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจหอบ เหนื่อยง่าย บางครั้งอาจมีเสียงหวีดขณะหายใจ หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจเป็นปวดบวม ปอดชื้น และปอดติดเชื้อ จนมีอาการทางระบบหายใจที่รุนแรงมากขึ้น การทำให้ปอดอบอุ่นอยู่เสมอจึงถือเป็นวิธีดูแลปอดให้แข็งแรงที่ไม่ควรมองข้าม
7.หายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ
กระบวนการหายใจจำเป็นต้องพึ่งพาปอดเป็นหลัก เนื่องจากเมื่อหายใจเข้า จะนำออกซิเจนเข้าไปในปอดและเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อหายใจออก ปอดก็จะเป็นการนำคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกจากร่างกาย โดยสามารถช่วยดูแลปอดให้แข็งแรงได้ในทุกวัน ผ่านการฝึกหายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง เพื่อบริหารปอด กระบังลม และกล้ามเนื้อทรวงอก เนื่องจากการสูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ จะทำให้ปอดได้ขยายตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หายใจได้สะดวกขึ้นนั่นเอง
Cr. โรงพยาบาลบางปะกอก 3
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
รู้ไว้ใช่ว่าTuesday, December 2nd, 2025 at 8:39am
ฝุ่น PM2.5 เข้ารถยนต์ได้หรือไม่ ?
คำตอบ คือ ฝุ่น PM2.5 สามารถเล็ดลอดเข้ามาภายในรถยนต์ได้บางส่วน เพราะฝุ่นมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน แม้ว่าระบบเครื่องปรับอากาศในรถยนต์จะมีแผ่นกรองอากาศ แต่แผ่นกรองอากาศบางชนิดก็ไม่สามารถกรองอนุภาคฝุ่นขนาด PM2.5 ได้ อย่างไรก็ตาม อย่ากังวลไป เพราะไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากเท่ากับการอยู่นอกรถ หรือการเปิดประตู-หน้าต่างบ่อยๆ
PM2.5 ส่งผลกระทบกับรถยนต์อย่างไร ?
ปกติแล้วรถยนต์จะมี “ไส้กรองอากาศ” หรือ “กรองแอร์” ดักจับกรองอนุภาคฝุ่นได้ 0.3 ไมครอน ช่วยป้องกันมลพิษขนาดเล็ก ฝุ่นละอองบนท้องถนน หรือควันไอเสียที่เข้ามาภายในห้องโดยสารได้ แต่ฝุ่น PM2.5 ที่มีปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานอาจส่งผลให้ไส้กรองอากาศอุดตัน โดยจะขัดขวางการไหลเวียนของอากาศที่เข้าไปสู่ห้องโดยสาร อีกทั้งมลพิษยังสามารถแทรกผ่านไส้กรองอากาศที่อุดตัน ส่งผลให้ระบบทำความเย็นทำงานหนักขึ้น
ทำอย่างไร เมื่อต้องขับรถลุยฝุ่น ?
หากต้องขับรถยนต์ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน รถยนต์ต้องมีเครื่องฟอกอากาศชนิด HEPA ที่สามารถกรองฝุ่น หรือสิ่งปนเปื้อนในอากาศขนาดเล็ก รวมถึงหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์ ที่ควรเปลี่ยนอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุกๆ 10,000-15,000 กิโลเมตร รวมถึงใช้งาน Recirculation (ระบบหมุนเวียนอากาศภายในรถยนต์) เพื่อให้อากาศภายในห้องโดยสารมีการหมุนเวียน และควบคุมไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาในรถ
เครื่องฟอกอากาศ จำเป็นหรือไม่ ?
แม้รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีไส้กรองอากาศภายในรถยนต์ และมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละอองได้สูง แต่ด้วย ฝุ่นPM2.5 มีอนุภาคขนาดเล็กจึงอาจลอดผ่านกรองอากาศมาได้ ดังนั้น การติดเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเพิ่มพลังในการกรองอากาศ และช่วยกำจัดฝุ่น แบคทีเรีย ไวรัส สารก่อภูมิแพ้ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย
Cr. AUTOINFO
ตาม Comment
FB Group: https://facebook.com/groups/1095030799207478
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
คำตอบ คือ ฝุ่น PM2.5 สามารถเล็ดลอดเข้ามาภายในรถยนต์ได้บางส่วน เพราะฝุ่นมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน แม้ว่าระบบเครื่องปรับอากาศในรถยนต์จะมีแผ่นกรองอากาศ แต่แผ่นกรองอากาศบางชนิดก็ไม่สามารถกรองอนุภาคฝุ่นขนาด PM2.5 ได้ อย่างไรก็ตาม อย่ากังวลไป เพราะไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากเท่ากับการอยู่นอกรถ หรือการเปิดประตู-หน้าต่างบ่อยๆ
PM2.5 ส่งผลกระทบกับรถยนต์อย่างไร ?
ปกติแล้วรถยนต์จะมี “ไส้กรองอากาศ” หรือ “กรองแอร์” ดักจับกรองอนุภาคฝุ่นได้ 0.3 ไมครอน ช่วยป้องกันมลพิษขนาดเล็ก ฝุ่นละอองบนท้องถนน หรือควันไอเสียที่เข้ามาภายในห้องโดยสารได้ แต่ฝุ่น PM2.5 ที่มีปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานอาจส่งผลให้ไส้กรองอากาศอุดตัน โดยจะขัดขวางการไหลเวียนของอากาศที่เข้าไปสู่ห้องโดยสาร อีกทั้งมลพิษยังสามารถแทรกผ่านไส้กรองอากาศที่อุดตัน ส่งผลให้ระบบทำความเย็นทำงานหนักขึ้น
ทำอย่างไร เมื่อต้องขับรถลุยฝุ่น ?
หากต้องขับรถยนต์ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน รถยนต์ต้องมีเครื่องฟอกอากาศชนิด HEPA ที่สามารถกรองฝุ่น หรือสิ่งปนเปื้อนในอากาศขนาดเล็ก รวมถึงหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองแอร์ ที่ควรเปลี่ยนอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุกๆ 10,000-15,000 กิโลเมตร รวมถึงใช้งาน Recirculation (ระบบหมุนเวียนอากาศภายในรถยนต์) เพื่อให้อากาศภายในห้องโดยสารมีการหมุนเวียน และควบคุมไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาในรถ
เครื่องฟอกอากาศ จำเป็นหรือไม่ ?
แม้รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีไส้กรองอากาศภายในรถยนต์ และมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละอองได้สูง แต่ด้วย ฝุ่นPM2.5 มีอนุภาคขนาดเล็กจึงอาจลอดผ่านกรองอากาศมาได้ ดังนั้น การติดเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเพิ่มพลังในการกรองอากาศ และช่วยกำจัดฝุ่น แบคทีเรีย ไวรัส สารก่อภูมิแพ้ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย
Cr. AUTOINFO
ตาม Comment
FB Group: https://facebook.com/groups/1095030799207478
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #ฝุ่นพิษ #ฝุ่นpm25 #ฝุ่นกรุงเทพ
รู้ไว้ใช่ว่าSunday, November 30th, 2025 at 9:06am
ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น มีประโยชน์ต่อผิวหน้า อย่างไร ++
การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น มีประโยชน์ต่อผิวหน้ามากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะในคุณผู้หญิงที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้า เพราะน้ำเย็นมีส่วนช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ควรสังเกตผิวหน้าของตนเองว่าเหมาะกับการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือไม่ หากมีอาการผิวแห้ง หรือเกิดการระคายเคือง ควรหยุดล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หากหยุดล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหน้าหรือแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำการรักษา
คุณประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
หลายคนที่ชอบล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ลองมาดูประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น กันดูบ้างนะคะ รับรองว่ามีดีไม่แพ้การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเลยทีเดียว
– น้ำเย็นช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ อ่อนกว่าวัย ลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
– น้ำเย็นช่วยลดความหมองคล้ำของผิว และช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น เปล่งปลั่ง กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น
– น้ำเย็นมีส่วนช่วยกระชับรูขุมขน โดยอาจใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเพื่อเปิดรูขุมขนและใช้นำเย็นล้างหน้าอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน
– น้ำเย็นช่วยปกป้องรูขุมขนของผิวคุณจากการถูกทำร้ายด้วยแสงแดด เนื่องจากน้ำเย็นจะกระชับรูขุมขนที่เปิดออกเมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสีที่เป็นตรายจากดวงอาทิตย์
– การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นก่อนแต่งหน้าช่วยให้เครื่องสำอางค์ติดทนนานมากยิ่งขึ้น
เคล็ดไม่ (ลับ) ในการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
น้ำเย็นที่ใช้ล้างหน้าไม่ควรเป็นน้ำที่เย็นจัดจนเกินไป เพราะอาจะทำให้ผิวหน้าเสียสมดุล เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ หากคุณมีอาการแพ้หลังจากการหลังหน้าด้วยน้ำเย็น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำการรักษา
Cr. Hello คุณหมอ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #น้ำเย็น #ฤดูหนาว #ล้างหน้า
การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น มีประโยชน์ต่อผิวหน้ามากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะในคุณผู้หญิงที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้า เพราะน้ำเย็นมีส่วนช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ควรสังเกตผิวหน้าของตนเองว่าเหมาะกับการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือไม่ หากมีอาการผิวแห้ง หรือเกิดการระคายเคือง ควรหยุดล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หากหยุดล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหน้าหรือแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำการรักษา
คุณประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
หลายคนที่ชอบล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ลองมาดูประโยชน์จากการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น กันดูบ้างนะคะ รับรองว่ามีดีไม่แพ้การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเลยทีเดียว
– น้ำเย็นช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ อ่อนกว่าวัย ลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
– น้ำเย็นช่วยลดความหมองคล้ำของผิว และช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น เปล่งปลั่ง กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น
– น้ำเย็นมีส่วนช่วยกระชับรูขุมขน โดยอาจใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเพื่อเปิดรูขุมขนและใช้นำเย็นล้างหน้าอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน
– น้ำเย็นช่วยปกป้องรูขุมขนของผิวคุณจากการถูกทำร้ายด้วยแสงแดด เนื่องจากน้ำเย็นจะกระชับรูขุมขนที่เปิดออกเมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสีที่เป็นตรายจากดวงอาทิตย์
– การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นก่อนแต่งหน้าช่วยให้เครื่องสำอางค์ติดทนนานมากยิ่งขึ้น
เคล็ดไม่ (ลับ) ในการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
น้ำเย็นที่ใช้ล้างหน้าไม่ควรเป็นน้ำที่เย็นจัดจนเกินไป เพราะอาจะทำให้ผิวหน้าเสียสมดุล เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ หากคุณมีอาการแพ้หลังจากการหลังหน้าด้วยน้ำเย็น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำการรักษา
Cr. Hello คุณหมอ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #น้ำเย็น #ฤดูหนาว #ล้างหน้า
รู้ไว้ใช่ว่าFriday, November 28th, 2025 at 10:42am
เมนูอาหารสมุนไพรช่วยสุขภาพดี ช่วงหน้าหนาว ++
การสร้างเกราะป้องกันความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นช่วงฤดูหนาว ควรเน้นการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรรสเปรี้ยว รสขม และรสเผ็ดร้อน เนื่องจาก
1.สมุนไพรรสเปรี้ยว จะช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ ทำให้ชุ่มคอ ได้แก่ มะเขือเทศ มะนาว มะขาม ผักติ้ว ใบชะมวง
2.สมุนไพรรสขมช่วยแก้ไข้ ต้านการอักเสบ ได้แก่ มะแว้งต้น มะแว้งเครือ มะเขือพวง ขี้เหล็ก และ
3.สมุนไพรรสเผ็ดร้อนจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นของร่างกาย บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก และบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ได้แก่ ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ แมงลัก กระเทียม
ด้วยเหตุนี้เอง สมุนไพรรสเปรี้ยว รสขม และรสเผ็ดร้อน จึงช่วยเสริมเกราะป้องกันป่วยช่วงฤดูหนาวได้ เมนูอาหารที่แนะนำ ได้แก่ แกงส้ม ต้มยำ ยำผักสมุนไพร น้ำพริกผักลวก ไก่ผัดขิง ฯลฯ ส่วนน้ำสมุนไพร ได้แก่ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำอัญชันมะนาว”
Cr. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #อากาศหนาว #ฤดูหนาว
การสร้างเกราะป้องกันความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นช่วงฤดูหนาว ควรเน้นการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรรสเปรี้ยว รสขม และรสเผ็ดร้อน เนื่องจาก
1.สมุนไพรรสเปรี้ยว จะช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ ทำให้ชุ่มคอ ได้แก่ มะเขือเทศ มะนาว มะขาม ผักติ้ว ใบชะมวง
2.สมุนไพรรสขมช่วยแก้ไข้ ต้านการอักเสบ ได้แก่ มะแว้งต้น มะแว้งเครือ มะเขือพวง ขี้เหล็ก และ
3.สมุนไพรรสเผ็ดร้อนจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นของร่างกาย บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก และบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ได้แก่ ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ แมงลัก กระเทียม
ด้วยเหตุนี้เอง สมุนไพรรสเปรี้ยว รสขม และรสเผ็ดร้อน จึงช่วยเสริมเกราะป้องกันป่วยช่วงฤดูหนาวได้ เมนูอาหารที่แนะนำ ได้แก่ แกงส้ม ต้มยำ ยำผักสมุนไพร น้ำพริกผักลวก ไก่ผัดขิง ฯลฯ ส่วนน้ำสมุนไพร ได้แก่ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำอัญชันมะนาว”
Cr. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #อากาศหนาว #ฤดูหนาว
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, November 27th, 2025 at 1:04pm
บทเรียนที่สำคัญ จากน้ำท่วม ในการจัดการสุขภาพจิต ++
1)จากสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ยังมีบุคคลเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษก่อนที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัว สูญเสียทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายและมีผลกระทบต่อประกอบอาชีพในอนาคต เหล่านี้มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น บาดแผลทางจิตใจหลังเกิดภาวะวิกฤติ, โรคซึมเศร้า และวิตกกังวล รวมถึงปัญหาการใช้สุราและยาเสพติดได้ในภายหลัง
ครอบครัว ญาติพี่น้อง และระบบบริการที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โดยใช้หลัก 3 ส หรือ 3L ในการปฐมพยาบาลทางใจ ได้แก่
ส 1 สอดส่องมองหา (Look) โดยค้นหาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น ผู้ที่แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจรุนแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยจิตเวช
ส 2 ใส่ใจรับฟัง (Listen) อย่างตั้งใจ รวมทั้งใช้ภาษากาย เช่น จับมือโอบกอด เพื่อช่วยให้ผู้สูญเสียบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึก คลายความทุกข์ในใจ
ส 3 ส่งต่อเชื่อมโยง (Link) โดยให้ความช่วยเหลือ ตามความจำเป็นพื้นฐาน เช่น น้ำ อาหาร และยา หากไม่ดีขึ้น เช่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โศกเศร้ารุนแรง มีความคิดฆ่าตัวตาย ให้พยายามติดต่อครอบครัวหรือชุมชนให้ช่วยป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตก่อนที่จะส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
2) การจัดการด้านสุขภาพจิตในภาวะภัยพิบัตินั้น ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากทั่วโลกว่า จะเป็นการสายเกินไปถ้าเน้นแต่การให้บริการผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต แต่ต้องดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ ในช่วงภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะที่ศูนย์อพยพ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังวิกฤติ ด้วยหลักการของ Public Mental Health ในภาวะวิกฤติ 5 ประการ ได้แก่
1. สร้างความรู้สึกปลอดภัย ทั้งในสถานที่พักพิงและหลังจากที่กลับไปฟื้นฟูในชุมชน
2. ลดความว้าวุ่นใจ ด้วยกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ
3. สร้างการมีส่วนร่วมให้มากที่สุดในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน
4. อาศัยความผูกพันที่มีอยู่ในระบบครอบครัวและชุมชน เช่น การให้เด็กได้อยู่กับครอบครัว หรือใช้พลัง อสม. และผู้นำชุมชนในการดูแลและจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
5. ก้าวข้ามอุปสรรคอย่างมีความหวัง เช่น การให้กำลังใจ ซึ่งกันและกันชุมชนและการจัดระบบความช่วยเหลือที่มาจากภายนอกให้ทั่วถึงและเป็นธรรม รวมพลังในการฟื้นฟูสภาพบ้านและชุมชน
หากทำได้ทั้ง 2 ข้อ จะทำให้ผ่านวิกฤตด้วยความเข้มแข็งมากขึ้นสามารถลดปัญหาสุขภาพจิตและปัญหาสังคมที่จะตามได้
Cr. นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #น้ำุท่วม #หลังน้ําท่วม
1)จากสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ยังมีบุคคลเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษก่อนที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัว สูญเสียทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายและมีผลกระทบต่อประกอบอาชีพในอนาคต เหล่านี้มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น บาดแผลทางจิตใจหลังเกิดภาวะวิกฤติ, โรคซึมเศร้า และวิตกกังวล รวมถึงปัญหาการใช้สุราและยาเสพติดได้ในภายหลัง
ครอบครัว ญาติพี่น้อง และระบบบริการที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โดยใช้หลัก 3 ส หรือ 3L ในการปฐมพยาบาลทางใจ ได้แก่
ส 1 สอดส่องมองหา (Look) โดยค้นหาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น ผู้ที่แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจรุนแรง กินไม่ได้นอนไม่หลับ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยจิตเวช
ส 2 ใส่ใจรับฟัง (Listen) อย่างตั้งใจ รวมทั้งใช้ภาษากาย เช่น จับมือโอบกอด เพื่อช่วยให้ผู้สูญเสียบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึก คลายความทุกข์ในใจ
ส 3 ส่งต่อเชื่อมโยง (Link) โดยให้ความช่วยเหลือ ตามความจำเป็นพื้นฐาน เช่น น้ำ อาหาร และยา หากไม่ดีขึ้น เช่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โศกเศร้ารุนแรง มีความคิดฆ่าตัวตาย ให้พยายามติดต่อครอบครัวหรือชุมชนให้ช่วยป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตก่อนที่จะส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
2) การจัดการด้านสุขภาพจิตในภาวะภัยพิบัตินั้น ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากทั่วโลกว่า จะเป็นการสายเกินไปถ้าเน้นแต่การให้บริการผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต แต่ต้องดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ ในช่วงภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะที่ศูนย์อพยพ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังวิกฤติ ด้วยหลักการของ Public Mental Health ในภาวะวิกฤติ 5 ประการ ได้แก่
1. สร้างความรู้สึกปลอดภัย ทั้งในสถานที่พักพิงและหลังจากที่กลับไปฟื้นฟูในชุมชน
2. ลดความว้าวุ่นใจ ด้วยกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ
3. สร้างการมีส่วนร่วมให้มากที่สุดในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน
4. อาศัยความผูกพันที่มีอยู่ในระบบครอบครัวและชุมชน เช่น การให้เด็กได้อยู่กับครอบครัว หรือใช้พลัง อสม. และผู้นำชุมชนในการดูแลและจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
5. ก้าวข้ามอุปสรรคอย่างมีความหวัง เช่น การให้กำลังใจ ซึ่งกันและกันชุมชนและการจัดระบบความช่วยเหลือที่มาจากภายนอกให้ทั่วถึงและเป็นธรรม รวมพลังในการฟื้นฟูสภาพบ้านและชุมชน
หากทำได้ทั้ง 2 ข้อ จะทำให้ผ่านวิกฤตด้วยความเข้มแข็งมากขึ้นสามารถลดปัญหาสุขภาพจิตและปัญหาสังคมที่จะตามได้
Cr. นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว #น้ำุท่วม #หลังน้ําท่วม







