รู้ไว้ใช่ว่าFriday, November 7th, 2025 at 9:08am
ดื่มน้ำน้อย ทำให้เกิด “ภาวะเลือดข้น” จริงหรือไม่?
ภาวะเลือดข้น คือ ภาวะที่เลือดมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงสูงผิดปกติ ส่งผลให้เลือดมีความหนืด ไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ยากกว่าปกติ และเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันตามอวัยวะ หรือโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, รวมถึงภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
การดื่มน้ำน้อย ทำให้เกิด “ภาวะเลือดข้น” จริงหรือไม่?
ไม่จริง เนื่องจากภาวะเลือดข้นมักเกิดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ แม้ว่าในภาวะที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง อาจจะทำให้เลือดข้นขึ้นกว่าปกติได้ แต่การดื่มน้ำน้อยเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง
จึงสรุปได้ว่า การดื่มน้ำน้อยไม่ทำให้เกิด “ภาวะเลือดข้น”
ปริมาณน้ำดื่มที่พอเหมาะในคนปกติ ร่างกายจะมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลได้เป็นอย่างดี หากดื่มน้ำอย่างน้อย 500-600 ซีซี และไม่เกิน 3-4 ลิตรต่อวัน ร่างกายก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ จึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเรื่องการดื่มน้ำจนเกินไป แนะนำให้ดื่มน้ำวันละประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน
ข้อแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
– หากรู้สึกกระหายน้ำ แสดงว่าร่างกายมีภาวะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเพื่อเติมน้ำให้กับร่างกาย
– หากมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายมากกว่าปกติ เช่น เสียเหงื่อมาก หรือ ท้องเสีย ควรได้รับทั้งน้ำและเกลือแร่เพื่อชดเชยกับที่สูญเสียไป
– ปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมในผู้ป่วย ขึ้นกับโรคประจำตัวที่เป็นและสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย
– ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำรวดเดียวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากร่างกายอาจไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกได้ทัน
Cr. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
ภาวะเลือดข้น คือ ภาวะที่เลือดมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงสูงผิดปกติ ส่งผลให้เลือดมีความหนืด ไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ยากกว่าปกติ และเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันตามอวัยวะ หรือโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, รวมถึงภาวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
การดื่มน้ำน้อย ทำให้เกิด “ภาวะเลือดข้น” จริงหรือไม่?
ไม่จริง เนื่องจากภาวะเลือดข้นมักเกิดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ แม้ว่าในภาวะที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง อาจจะทำให้เลือดข้นขึ้นกว่าปกติได้ แต่การดื่มน้ำน้อยเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง
จึงสรุปได้ว่า การดื่มน้ำน้อยไม่ทำให้เกิด “ภาวะเลือดข้น”
ปริมาณน้ำดื่มที่พอเหมาะในคนปกติ ร่างกายจะมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลได้เป็นอย่างดี หากดื่มน้ำอย่างน้อย 500-600 ซีซี และไม่เกิน 3-4 ลิตรต่อวัน ร่างกายก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ จึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเรื่องการดื่มน้ำจนเกินไป แนะนำให้ดื่มน้ำวันละประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน
ข้อแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
– หากรู้สึกกระหายน้ำ แสดงว่าร่างกายมีภาวะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเพื่อเติมน้ำให้กับร่างกาย
– หากมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายมากกว่าปกติ เช่น เสียเหงื่อมาก หรือ ท้องเสีย ควรได้รับทั้งน้ำและเกลือแร่เพื่อชดเชยกับที่สูญเสียไป
– ปริมาณน้ำดื่มที่เหมาะสมในผู้ป่วย ขึ้นกับโรคประจำตัวที่เป็นและสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย
– ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำรวดเดียวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากร่างกายอาจไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกได้ทัน
Cr. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, November 5th, 2025 at 9:48am
8 ข้อที่ผู้ปกครองต้องเฝ้าระวัง เด็กให้ปลอดภัย ในวันลอยกระทง ++
1. ไม่ปล่อยให้เด็กลอยกระทงตามลำพัง ควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กอาจตกน้ำได้
2. ระวังเด็กพลัดหลง ควรดูแลไม่ให้คลาดสายตา และติดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครองไว้ที่ตัวเด็ก เพื่อไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน
3. ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่คนแออัด โดยเฉพาะ ริมตลิ่ง ท่าน้ำ โป๊ะ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
4. ห้ามจุดพลุ ดอกไม้ไฟ โคมลอย เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
5. ไม่ควรปล่อยให้เด็กลงน้ำไปเก็บเหรียญในกระทง เสี่ยงอันตรายจมน้ำ และโรคติดต่อที่มาจากน้ำ
6. ระวังมิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสลักขโมยทรัพย์สิน
7. ไม่ควรไปสถานที่ที่มืดและเปลี่ยว อาจถูกละเมิดทางเพศ
8. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจนำไปสู่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทและอุบัติเหตุ
สิ่งสำคัญในการลอยกระทง พ่อ แม่ ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
Cr. กรมกิจการเด็กและเยาวชน
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. ไม่ปล่อยให้เด็กลอยกระทงตามลำพัง ควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กอาจตกน้ำได้
2. ระวังเด็กพลัดหลง ควรดูแลไม่ให้คลาดสายตา และติดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครองไว้ที่ตัวเด็ก เพื่อไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน
3. ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่คนแออัด โดยเฉพาะ ริมตลิ่ง ท่าน้ำ โป๊ะ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
4. ห้ามจุดพลุ ดอกไม้ไฟ โคมลอย เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
5. ไม่ควรปล่อยให้เด็กลงน้ำไปเก็บเหรียญในกระทง เสี่ยงอันตรายจมน้ำ และโรคติดต่อที่มาจากน้ำ
6. ระวังมิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสลักขโมยทรัพย์สิน
7. ไม่ควรไปสถานที่ที่มืดและเปลี่ยว อาจถูกละเมิดทางเพศ
8. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจนำไปสู่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทและอุบัติเหตุ
สิ่งสำคัญในการลอยกระทง พ่อ แม่ ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
Cr. กรมกิจการเด็กและเยาวชน
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, October 30th, 2025 at 1:19pm
สังเกตยังไงว่าเป็นอาการบวมน้ำหรืออ้วน?
-อาการบวมน้ำจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นและลดลงหายเองได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังรับประทานอาหารเป็นไปตามปกติ
-โรคอ้วน จะมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ และลดลงยากกว่าอาการบวมน้ำ เนื่องจากโรคอ้วนเกิดจากการสะสมของปริมาณไขมันในร่างกายมากเกินความจำเป็นและไม่ค่อยได้ถูกการเผาผลาญออกจากร่างกายผ่านการทำกิจกรรมต่างๆเช่น การออกกำลังกาย เป็นต้น
ทั้งนี้สามารถทดสอบอาการบวมน้ำเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยใช้นิ้วกดลงตรงบริเวณที่บวมค้างไว้นานประมาณ 10-15 วินาที หากกดลงไปและเป็นรอยนิ้วบุ๋มลงไปเรียกว่าอาการบวมน้ำ แต่ถ้ากดลงไปและรู้สึกแน่นหรือตึงจะเรียกว่าโรคอ้วน
วิธีรักษาของอาการบวมน้ำ
จะเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งหากอาการบวมที่ปรากฏไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยก็อาจบรรเทาอาการดังกล่าวเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เช่น
-รับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์ โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทสำเร็จรูปหรืออาหารรสเค็มจัด
-งดการสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์
-เปลี่ยนอิริยาบถท่าทางบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขา
-ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกาย
-ดูแลผิวบริเวณที่มีอาการบวมให้สะอาดและชุ่มชื้นอยู่เสมอ
-ยืดเหยียดอวัยวะบริเวณที่มีอาการบวมให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 2-3 ครั้ง/วัน
-นวดเพื่อให้แรงกดช่วยกระจายของเหลวส่วนเกินออกจากบริเวณดังกล่าว หรือเข้ารับการรักษาด้วยวิธีฝังเข็ม
ประเภทผักและผลไม้ที่ช่วยลดอาการบวมน้ำลงได้
-มะเขือเทศ มีโพแทสเซียม ช่วยลดอาการท้องอืดได้โดยการลดระดับโซเดียมในร่างกาย
ช่วยให้ร่างกายลดความต้องการของเหลวจากแหล่งอาหารอื่น
-แตงกวา มีสารโพลีฟีนอลที่ช่วยขับน้ำส่วนเกินในร่างกาย ลดอาการบวม และมีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกาย รวมถึงช่วยให้ผิวสวย และช่วยในการขับถ่าย
-อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ปราศจากฟรุกโตสและซอร์บิทอลซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดท้องอืดและก๊าซ และยังมีเส้นใยที่ละลายน้ำ ช่วยให้การย่อยอาหารของเราดีขึ้น ทำให้ไม่เกิดกรดในกระเพาะอาหาร
-หน่อไม้ฝรั่ง มีกรดอะมิโนแอสพาราจีน มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับน้ำส่วนเกินและขับโซเดียมออกจากร่างกาย
-กล้วยหอม เป็นแหล่งของไฟเบอร์สูง และ มีวิตามินบี1,บี2 ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยไม่ให้ตัวบวมจากการสะสมของไขมันส่วนเกินได้
-แตงโม ช่วยลดการสะสมของไขมันไม่ดีในร่างกาย และมีสารอาหารไลโคปีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา รวมทั้งยังช่วยบำรุงผิวและเส้นผม และช่วยล้างสารพิษในร่างกาย
ทั้งนี้หากลองปฏิบัติในเบื้องต้นและยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการบวมน้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากอาการเป็นผลมาจากการใช้ยา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาดังกล่าว เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
Cr. ร.พ. บางปะกอกสมุทรปราการ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
-อาการบวมน้ำจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นและลดลงหายเองได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังรับประทานอาหารเป็นไปตามปกติ
-โรคอ้วน จะมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ และลดลงยากกว่าอาการบวมน้ำ เนื่องจากโรคอ้วนเกิดจากการสะสมของปริมาณไขมันในร่างกายมากเกินความจำเป็นและไม่ค่อยได้ถูกการเผาผลาญออกจากร่างกายผ่านการทำกิจกรรมต่างๆเช่น การออกกำลังกาย เป็นต้น
ทั้งนี้สามารถทดสอบอาการบวมน้ำเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยใช้นิ้วกดลงตรงบริเวณที่บวมค้างไว้นานประมาณ 10-15 วินาที หากกดลงไปและเป็นรอยนิ้วบุ๋มลงไปเรียกว่าอาการบวมน้ำ แต่ถ้ากดลงไปและรู้สึกแน่นหรือตึงจะเรียกว่าโรคอ้วน
วิธีรักษาของอาการบวมน้ำ
จะเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งหากอาการบวมที่ปรากฏไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยก็อาจบรรเทาอาการดังกล่าวเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เช่น
-รับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์ โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทสำเร็จรูปหรืออาหารรสเค็มจัด
-งดการสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์
-เปลี่ยนอิริยาบถท่าทางบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขา
-ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกาย
-ดูแลผิวบริเวณที่มีอาการบวมให้สะอาดและชุ่มชื้นอยู่เสมอ
-ยืดเหยียดอวัยวะบริเวณที่มีอาการบวมให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 2-3 ครั้ง/วัน
-นวดเพื่อให้แรงกดช่วยกระจายของเหลวส่วนเกินออกจากบริเวณดังกล่าว หรือเข้ารับการรักษาด้วยวิธีฝังเข็ม
ประเภทผักและผลไม้ที่ช่วยลดอาการบวมน้ำลงได้
-มะเขือเทศ มีโพแทสเซียม ช่วยลดอาการท้องอืดได้โดยการลดระดับโซเดียมในร่างกาย
ช่วยให้ร่างกายลดความต้องการของเหลวจากแหล่งอาหารอื่น
-แตงกวา มีสารโพลีฟีนอลที่ช่วยขับน้ำส่วนเกินในร่างกาย ลดอาการบวม และมีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกาย รวมถึงช่วยให้ผิวสวย และช่วยในการขับถ่าย
-อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ปราศจากฟรุกโตสและซอร์บิทอลซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดท้องอืดและก๊าซ และยังมีเส้นใยที่ละลายน้ำ ช่วยให้การย่อยอาหารของเราดีขึ้น ทำให้ไม่เกิดกรดในกระเพาะอาหาร
-หน่อไม้ฝรั่ง มีกรดอะมิโนแอสพาราจีน มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับน้ำส่วนเกินและขับโซเดียมออกจากร่างกาย
-กล้วยหอม เป็นแหล่งของไฟเบอร์สูง และ มีวิตามินบี1,บี2 ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยไม่ให้ตัวบวมจากการสะสมของไขมันส่วนเกินได้
-แตงโม ช่วยลดการสะสมของไขมันไม่ดีในร่างกาย และมีสารอาหารไลโคปีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็ง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา รวมทั้งยังช่วยบำรุงผิวและเส้นผม และช่วยล้างสารพิษในร่างกาย
ทั้งนี้หากลองปฏิบัติในเบื้องต้นและยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการบวมน้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากอาการเป็นผลมาจากการใช้ยา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาดังกล่าว เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
Cr. ร.พ. บางปะกอกสมุทรปราการ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, October 29th, 2025 at 1:30pm
จริงไหม การอดนอน เพิ่มความเสี่ยง 4 อย่างนี้?
หลายคนอาจเคยได้ยินความเชื่อที่แชร์ต่อ ๆ กันมาว่าการอดนอนเพิ่มความเสี่ยงโรคหรืออาการบางอย่าง ความเชื่อเหล่านี้จริงหรือไม่
ความเชื่อที่ 1 อดนอนทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ความเชื่อนี้ไม่จริง การอดนอนไม่ได้ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่า จนไม่รู้สึกอยากมีกิจกรรมทางเพศ
ความเชื่อที่ 2 อดนอนทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
ความเชื่อนี้จริง การอดนอนในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น เนื่องจากระบบหัวใจและหลอดเลือดต้องทํางานหนักขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น
ความเชื่อที่ 3 อดนอนทำให้เข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ
ความเชื่อนี้ไม่จริง การอดนอนอาจทําให้หงุดหงิดง่าย และเกิดความวิตกกังวล ซึ่งเป็นอาการที่คล้ายกับอาการของคนวัยทอง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติแต่อย่างใด
ความเชื่อที่ 4 อดนอนเสี่ยงอายุสั้น
ความเชื่อนี้ไม่จริง ในทางการแพทย์ยังไม่พบหลักฐานว่าการอดนอนทำให้อายุสั้นลง แต่การอดนอนเป็นสาเหตุของความผิดปกติเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
Cr. งานสื่อสารองค์กร คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี
หลายคนอาจเคยได้ยินความเชื่อที่แชร์ต่อ ๆ กันมาว่าการอดนอนเพิ่มความเสี่ยงโรคหรืออาการบางอย่าง ความเชื่อเหล่านี้จริงหรือไม่
ความเชื่อที่ 1 อดนอนทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ความเชื่อนี้ไม่จริง การอดนอนไม่ได้ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่า จนไม่รู้สึกอยากมีกิจกรรมทางเพศ
ความเชื่อที่ 2 อดนอนทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
ความเชื่อนี้จริง การอดนอนในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น เนื่องจากระบบหัวใจและหลอดเลือดต้องทํางานหนักขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น
ความเชื่อที่ 3 อดนอนทำให้เข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ
ความเชื่อนี้ไม่จริง การอดนอนอาจทําให้หงุดหงิดง่าย และเกิดความวิตกกังวล ซึ่งเป็นอาการที่คล้ายกับอาการของคนวัยทอง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติแต่อย่างใด
ความเชื่อที่ 4 อดนอนเสี่ยงอายุสั้น
ความเชื่อนี้ไม่จริง ในทางการแพทย์ยังไม่พบหลักฐานว่าการอดนอนทำให้อายุสั้นลง แต่การอดนอนเป็นสาเหตุของความผิดปกติเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
Cr. งานสื่อสารองค์กร คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี
รู้ไว้ใช่ว่าTuesday, October 28th, 2025 at 9:50am
ปากลอก สาเหตุและวิธีรักษา++
ปากลอกเป็นอาการที่พบได้บ่อยในหมู่ผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและมีอาการที่หลากหลาย เช่น ปากแห้งและแตกลอกเป็นคราบขาว มีขุย หรือแม้กระทั่งเป็นแผล ซึ่งสามารถนำไปสู่ความรู้สึกไม่สบายและปัญหาในการรับประทานอาหารหรือพูดคุย การเข้าใจสาเหตุและการหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก
สาเหตุของปากลอก
– การขาดน้ำ: การไม่ได้รับน้ำเพียงพอเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปากแห้งและลอก
– การขาดวิตามิน: ขาดวิตามิน B, ซิงค์, และเหล็กสามารถนำไปสู่ปัญหาปากลอก
– อาการแพ้: การแพ้ยาสีฟันหรือผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากอื่นๆ อาจทำให้ปากลอก
– สภาพอากาศ: อากาศที่แห้งมากหรือหนาวเย็นสามารถทำให้ปากแห้งและลอก
– การสักปาก: การสักปากอาจทำให้ปากลอกหลังจากสักได้ไม่นาน
วิธีการรักษา
– เพิ่มการบริโภคน้ำ: การดื่มน้ำเพียงพอทุกวันช่วยให้ปากชุ่มชื้นและลดการลอก
– ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปาก: ครีมหรือบาล์มที่มีส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นสามารถช่วยบรรเทาอาการปากลอก
– หลีกเลี่ยงสาเหตุการแพ้: หากสงสัยว่าการแพ้เป็นสาเหตุ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
– การใช้เครื่องทำความชื้น: ในสภาพอากาศแห้งหรือหนาวเย็น การใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอนสามารถช่วยให้ปากชุ่มชื้น
– การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน: การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B, ซิงค์, และเหล็กช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารเพียงพอที่จำเป็นสำหรับการรักษาปากลอก
Cr. โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งดิอาท
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
ปากลอกเป็นอาการที่พบได้บ่อยในหมู่ผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและมีอาการที่หลากหลาย เช่น ปากแห้งและแตกลอกเป็นคราบขาว มีขุย หรือแม้กระทั่งเป็นแผล ซึ่งสามารถนำไปสู่ความรู้สึกไม่สบายและปัญหาในการรับประทานอาหารหรือพูดคุย การเข้าใจสาเหตุและการหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก
สาเหตุของปากลอก
– การขาดน้ำ: การไม่ได้รับน้ำเพียงพอเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปากแห้งและลอก
– การขาดวิตามิน: ขาดวิตามิน B, ซิงค์, และเหล็กสามารถนำไปสู่ปัญหาปากลอก
– อาการแพ้: การแพ้ยาสีฟันหรือผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากอื่นๆ อาจทำให้ปากลอก
– สภาพอากาศ: อากาศที่แห้งมากหรือหนาวเย็นสามารถทำให้ปากแห้งและลอก
– การสักปาก: การสักปากอาจทำให้ปากลอกหลังจากสักได้ไม่นาน
วิธีการรักษา
– เพิ่มการบริโภคน้ำ: การดื่มน้ำเพียงพอทุกวันช่วยให้ปากชุ่มชื้นและลดการลอก
– ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปาก: ครีมหรือบาล์มที่มีส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นสามารถช่วยบรรเทาอาการปากลอก
– หลีกเลี่ยงสาเหตุการแพ้: หากสงสัยว่าการแพ้เป็นสาเหตุ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
– การใช้เครื่องทำความชื้น: ในสภาพอากาศแห้งหรือหนาวเย็น การใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอนสามารถช่วยให้ปากชุ่มชื้น
– การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน: การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B, ซิงค์, และเหล็กช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารเพียงพอที่จำเป็นสำหรับการรักษาปากลอก
Cr. โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งดิอาท
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าMonday, October 27th, 2025 at 1:17pm
5 วิธีดูแลสภาพจิตใจหลังเผชิญความเศร้า
1. มีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เช่น งดทะเลาะกับผู้อื่นที่มีความเห็นแตกต่าง
2. สร้างความบันเทิง มองเห็นคุณค่าตนเอง อาจร่วมเป็นอาสาสมัครทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
3. ดูแลสภาพจิตใจ ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ เช่น ทำงาน ตั้งใจเรียน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้คลายกังวลและความเครียด
4. ไม่ยึดติดกับอดีต ยอมรับความเป็นจริง และอยู่กับปัจจุบัน
5. ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยการผ่านเรื่องร้าย ๆ มักต้องใช้เวลาควรให้กำลังใจตนเองให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากให้ได้
5 วิธีดูแลสภาพจิตใจหลังเผชิญความเศร้า
– สำหรับบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกหลานประสบเหตุการณ์ ควรเข้าช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษา รับฟัง และเป็นแบบอย่างในการจัดการอารมณ์
– หากดูแลตนเองโดยวิธีข้างต้นแล้วยังคงมีปัญหาในการจัดการอารมณ์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและรักษา
Cr. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. มีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักยับยั้งชั่งใจ เช่น งดทะเลาะกับผู้อื่นที่มีความเห็นแตกต่าง
2. สร้างความบันเทิง มองเห็นคุณค่าตนเอง อาจร่วมเป็นอาสาสมัครทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
3. ดูแลสภาพจิตใจ ทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ เช่น ทำงาน ตั้งใจเรียน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้คลายกังวลและความเครียด
4. ไม่ยึดติดกับอดีต ยอมรับความเป็นจริง และอยู่กับปัจจุบัน
5. ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยการผ่านเรื่องร้าย ๆ มักต้องใช้เวลาควรให้กำลังใจตนเองให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากให้ได้
5 วิธีดูแลสภาพจิตใจหลังเผชิญความเศร้า
– สำหรับบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกหลานประสบเหตุการณ์ ควรเข้าช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษา รับฟัง และเป็นแบบอย่างในการจัดการอารมณ์
– หากดูแลตนเองโดยวิธีข้างต้นแล้วยังคงมีปัญหาในการจัดการอารมณ์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและรักษา
Cr. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว







