รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, April 23rd, 2025 at 1:55pm
ทำไมดื่มกาแฟแล้วง่วง!!!
1. การเพิ่มของสารอะดีโนซีน (Adenosine) ในร่างกาย
– คาเฟอีนทำหน้าที่ขัดขวางการทำงานของสารอะดีโนซีนในสมอง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรารู้สึกง่วง เมื่อดื่มกาแฟเป็นประจำร่างกายจะปรับตัว โดยผลิตอะดีโนซีนเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยผลกระทบของคาเฟอีน
– เมื่อคาเฟอีนหมดฤทธิ์ ร่างกายที่มีอะดีโนซีนสะสมอยู่มากจะทำให้เกิดความรู้สึกง่วงอย่างรวดเร็ว
2. ความเคยชินกับคาเฟอีน
– หากเราดื่มกาแฟในช่วงปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะปรับตัวจนเกิดความชิน ทำให้คาเฟอีนในปริมาณเดิมไม่สามารถกระตุ้นความตื่นตัวได้เหมือนเดิม ส่งผลให้เรารู้สึกง่วงได้
3. ฤทธิ์ของคาเฟอีนที่ส่งผลต่อการนอนหลับ
– หากดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือเย็น คาเฟอีนที่ยังค้างอยู่ในร่างกายอาจรบกวนการนอนหลับในเวลากลางคืน ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และทำให้รู้สึกง่วงในวันถัดมา
วิธีแก้ไขอาการดื่มกาแฟแล้วง่วง
1. ลดปริมาณการดื่มกาแฟทีละน้อย หลีกเลี่ยงการเพิ่มปริมาณคาเฟอีน เพื่อไม่ให้ร่างกายปรับตัวเพิ่มอะดีโนซีนมากขึ้น ควรลดปริมาณการดื่มกาแฟลงเรื่อยๆ อย่างเป็นระบบ
2. หยุดดื่มกาแฟเป็นช่วงๆ การหยุดดื่มกาแฟชั่วคราว 3-4 วัน/สัปดาห์ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ลดระดับอะดีโนซีน และความเคยชินกับคาเฟอีน
3. ดื่มน้ำเปล่าและพักผ่อนให้เพียงพอ บางครั้งอาการง่วงอาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำและนอนหลับอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้
4. เลือกช่วงเวลาดื่มกาแฟที่เหมาะสม ไม่ควรดื่มกาแฟหลังเวลา 14.00 น. เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการนอนหลับ
ข้อควรระวังในการบริโภคคาเฟอีน
– การดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความดันโลหิต หรือทำให้เกิดความวิตกกังวล
– ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคกาแฟ
อาการง่วงหลังดื่มกาแฟเป็นผลจากการปรับตัวของร่างกายต่อคาเฟอีน หากเราจัดการการบริโภคอย่างเหมาะสม และให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ และยังคงได้รับประโยชน์จากกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม
Cr. โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. การเพิ่มของสารอะดีโนซีน (Adenosine) ในร่างกาย
– คาเฟอีนทำหน้าที่ขัดขวางการทำงานของสารอะดีโนซีนในสมอง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรารู้สึกง่วง เมื่อดื่มกาแฟเป็นประจำร่างกายจะปรับตัว โดยผลิตอะดีโนซีนเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยผลกระทบของคาเฟอีน
– เมื่อคาเฟอีนหมดฤทธิ์ ร่างกายที่มีอะดีโนซีนสะสมอยู่มากจะทำให้เกิดความรู้สึกง่วงอย่างรวดเร็ว
2. ความเคยชินกับคาเฟอีน
– หากเราดื่มกาแฟในช่วงปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะปรับตัวจนเกิดความชิน ทำให้คาเฟอีนในปริมาณเดิมไม่สามารถกระตุ้นความตื่นตัวได้เหมือนเดิม ส่งผลให้เรารู้สึกง่วงได้
3. ฤทธิ์ของคาเฟอีนที่ส่งผลต่อการนอนหลับ
– หากดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือเย็น คาเฟอีนที่ยังค้างอยู่ในร่างกายอาจรบกวนการนอนหลับในเวลากลางคืน ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และทำให้รู้สึกง่วงในวันถัดมา
วิธีแก้ไขอาการดื่มกาแฟแล้วง่วง
1. ลดปริมาณการดื่มกาแฟทีละน้อย หลีกเลี่ยงการเพิ่มปริมาณคาเฟอีน เพื่อไม่ให้ร่างกายปรับตัวเพิ่มอะดีโนซีนมากขึ้น ควรลดปริมาณการดื่มกาแฟลงเรื่อยๆ อย่างเป็นระบบ
2. หยุดดื่มกาแฟเป็นช่วงๆ การหยุดดื่มกาแฟชั่วคราว 3-4 วัน/สัปดาห์ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ลดระดับอะดีโนซีน และความเคยชินกับคาเฟอีน
3. ดื่มน้ำเปล่าและพักผ่อนให้เพียงพอ บางครั้งอาการง่วงอาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำและนอนหลับอย่างเพียงพอสามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้
4. เลือกช่วงเวลาดื่มกาแฟที่เหมาะสม ไม่ควรดื่มกาแฟหลังเวลา 14.00 น. เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการนอนหลับ
ข้อควรระวังในการบริโภคคาเฟอีน
– การดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เพิ่มความดันโลหิต หรือทำให้เกิดความวิตกกังวล
– ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคกาแฟ
อาการง่วงหลังดื่มกาแฟเป็นผลจากการปรับตัวของร่างกายต่อคาเฟอีน หากเราจัดการการบริโภคอย่างเหมาะสม และให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ และยังคงได้รับประโยชน์จากกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม
Cr. โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าTuesday, April 22nd, 2025 at 12:13pm
เก็บอาหารด้วยวิธี “แช่แข็ง” จะอยู่ได้นานเท่าไร?
1. ประเภทของอาหาร
อาหารบางประเภทสามารถเก็บเอาไว้ได้นานโดยไม่ต้องเอาเข้าตู้เย็นเลยด้วยซ้ำ เช่น ผลไม้ตากแห้ง ปลาตากแห้ง หอม กระเทียม และขนมแห้งอื่นๆ แต่อาหารบางชนิดก็แทบจะมีอายุน้อยมาก ยิ่งโดนอากาศร้อนๆ ก็ยิ่งเสียง่าย เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของนม กะทิสด เช่น แกงเขียวหวาน รวมถึงอาหารรสหวานก็จะเน่าเสียง่ายกว่าอาหารรสเค็ม และอาหารที่ม่ีความเป็นกรด เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว จะเสียยากกว่าอาหารอื่นๆ ดังนั้นลักษณะของอาหาร ถ้าแห้ง ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากนัก และมีส่วนผสมที่ไม่บูดเน่าหรือเสียง่าย ก็จะอยู่ได้นานกว่าอาหารอื่นๆ
2. วิธีการเก็บอาหารหลังทำเสร็จ
อาหารจะมีระยะเวลาในการทาน หรือเก็บรักษาได้ยาวนานมากขึ้น ขึ้นอยู่กับวิธีเก็บรักษาอาหารหลังทำอาหารเสร็จ
– อาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ ควรทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท ก่อนนำเข้าตู้เย็น
– อาหารที่ทำเสร็จไว้นานแล้ว เช่น กับข้าวทำสำเร็จตามร้านต่างๆ ก่อนทานควรอุ่นให้เดือดเกิน 100 องศาเซลเซียสก่อน 1 ครั้ง ทานด้วยช้อนกลาง เมื่อทานเสร็จเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แล้วนำเข้าตู้เย็น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นอาหารที่ซื้อมาทานจากร้านข้างนอก มีความเป็นไปได้ว่าจะเก็บรักษาได้ไม่นานเท่าอาหารที่ทำเองใหม่ๆ เพราะทางร้านอาจทำเอาไว้นานแล้วก่อนที่เราจะไปซื้อมาทาน โดยเฉพาะร้านข้าวแกง หรือร้านขายกับข้าวที่ใส่ภาชนะเหล็ก ใส่หม้อใหญ่ๆ ที่อาจไม่ได้อุ่นให้เดือดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเป็นกับข้าวจากร้านอาหารนอกบ้านที่ทำไว้ก่อนล่วงหน้า ก็ไม่ควรเก็บเอาไว้นานเกิน 2-3 วัน เพราะมีระยะเวลาที่ทิ้งเอาไว้นานกว่าเราจะรับประทาน และเก็บเข้าตู้เย็น ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสียเริ่มก่อตัวขึ้นได้แล้ว
3. ความสมบูรณ์ของตู้เย็น
การจะเก็บอาหารให้ได้ยาวนานนั้น อุณหภูมิเป็นเรื่องสำคัญมาก หากอากาศเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียมาก ก็ย่อมมีโอกาสที่อาหารของเราจะบูดเน่าได้ไวกว่า ซึ่งโชคร้ายที่อุณหภูมิร้อนชื้นของบ้านเราเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมของเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ตัว ทั้งซาลโมเนลลา อีโคไล สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ และอื่นๆ ที่ทำให้ท้องเสีย ท้องร่วง หรืออาจเป็นโรคอาหารเป็นพิษได้
นอกจากนี้ หากเก็บรักษาอาหารเอาไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เย็นมากเพียงพอ ก็อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียยังคงเจริญเติบโตได้อยู่ และทำให้อาหารของเราเน่าเสียได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน
ดังนั้น การเก็บอาหารเอาให้ได้นานๆ ต้องทำภาชนะใส่อาหารพร้อมฝาปิดแน่นๆ เข้าช่องแช่แข็งที่มีความเย็นมากกว่า -10 องศาเซลเซียส แช่เอาไว้จนเป็นแข็งโป๊ก ยิ่งแข็ง ยิ่งเย็น ก็ยิ่งเก็บเอาไว้ได้นานขึ้น (ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาหาร และระยะเวลาของเชื้อแบคทีเรียที่อาจเข้ามาทำปฏิกิริยากับอาหารก่อนแช่แข็งด้วย)
เคล็ดลับอีกอย่างสำหรับตู้เย็นคือ ไม่ควรเปิดตู้เย็นบ่อยจนเกินไป และไม่ควรใส่ของจนแน่นเกินไป เพราะถึงแม้เราจะตั้งค่าความเย็นเอาไว้เย็นมากๆ แล้ว แต่หากมีของ หรืออาหารในตู้เย็นแน่นจนเกินไป ก็ทำให้อุณหภูมิในตู้เย็นไม่เย็นเท่าที่ควรจะเป็น ลองนึกถึงห้องแอร์ที่มีคนอัดแน่นเต็มไปหมด แม้ว่าจะเปิดแอร์หนาวมากแล้ว แต่คนก็ยังร้อนอยู่ เพราะความเย็นไม่เพียงพอต่อจำนวนคนนั่นเอง
4. ติดป้ายบอกเวลาเก็บให้ชัดเจน
ก่อนตั้งใจเก็บเข้าตู้เย็นเป็นเวลานานๆ ควรแปะป้าย หรือเขียนลงบนภาชนะให้ชัดเจนว่าเริ่มเก็บเข้าตู้เย็นตั้งแต่เมื่อไร เพราะผ่านไปนานๆ หลายวันก็อาจลืมได้
อายุคร่าวๆ ของอาหารในตู้เย็น
++ เนื้อสัตว์
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 1-2 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 6-9 เดือน
++ อาหารทะเล
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 1-2 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 3-6 เดือน
++ ไข่ไก่
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 21-35 วัน
– (ไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง เพราะไม่ได้ช่วยยืดอายุได้แต่อย่างใด)
++ ผักผลไม้
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 21-35 วัน
– (ไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง เพราะไม่ได้ช่วยยืดอายุได้แต่อย่างใด)
++ อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 14 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 1-2 เดือน
5. ไม่ควรเก็บอาหารไว้ในตู้เย็นนานจนเกินไป
แม้ว่าอาหารหลายอย่างจะสามารถเก็บเอาไว้ในช่องแช่แข็งอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส และอยู่ได้เป็นเดือนๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าอย่างไรอาหารแช่แข็งอาจมีความเสี่ยงเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราท้องเสียได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี ควรทานอาหารปรุงสดใหม่ทุกวัน ส่วนอาหารปรุงสุกไม่ควรเก็บเอาไว้ทานเกิน 1-2 วันจะดีที่สุด
Cr. Sanook
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. ประเภทของอาหาร
อาหารบางประเภทสามารถเก็บเอาไว้ได้นานโดยไม่ต้องเอาเข้าตู้เย็นเลยด้วยซ้ำ เช่น ผลไม้ตากแห้ง ปลาตากแห้ง หอม กระเทียม และขนมแห้งอื่นๆ แต่อาหารบางชนิดก็แทบจะมีอายุน้อยมาก ยิ่งโดนอากาศร้อนๆ ก็ยิ่งเสียง่าย เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของนม กะทิสด เช่น แกงเขียวหวาน รวมถึงอาหารรสหวานก็จะเน่าเสียง่ายกว่าอาหารรสเค็ม และอาหารที่ม่ีความเป็นกรด เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว จะเสียยากกว่าอาหารอื่นๆ ดังนั้นลักษณะของอาหาร ถ้าแห้ง ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากนัก และมีส่วนผสมที่ไม่บูดเน่าหรือเสียง่าย ก็จะอยู่ได้นานกว่าอาหารอื่นๆ
2. วิธีการเก็บอาหารหลังทำเสร็จ
อาหารจะมีระยะเวลาในการทาน หรือเก็บรักษาได้ยาวนานมากขึ้น ขึ้นอยู่กับวิธีเก็บรักษาอาหารหลังทำอาหารเสร็จ
– อาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆ ควรทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท ก่อนนำเข้าตู้เย็น
– อาหารที่ทำเสร็จไว้นานแล้ว เช่น กับข้าวทำสำเร็จตามร้านต่างๆ ก่อนทานควรอุ่นให้เดือดเกิน 100 องศาเซลเซียสก่อน 1 ครั้ง ทานด้วยช้อนกลาง เมื่อทานเสร็จเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แล้วนำเข้าตู้เย็น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นอาหารที่ซื้อมาทานจากร้านข้างนอก มีความเป็นไปได้ว่าจะเก็บรักษาได้ไม่นานเท่าอาหารที่ทำเองใหม่ๆ เพราะทางร้านอาจทำเอาไว้นานแล้วก่อนที่เราจะไปซื้อมาทาน โดยเฉพาะร้านข้าวแกง หรือร้านขายกับข้าวที่ใส่ภาชนะเหล็ก ใส่หม้อใหญ่ๆ ที่อาจไม่ได้อุ่นให้เดือดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเป็นกับข้าวจากร้านอาหารนอกบ้านที่ทำไว้ก่อนล่วงหน้า ก็ไม่ควรเก็บเอาไว้นานเกิน 2-3 วัน เพราะมีระยะเวลาที่ทิ้งเอาไว้นานกว่าเราจะรับประทาน และเก็บเข้าตู้เย็น ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสียเริ่มก่อตัวขึ้นได้แล้ว
3. ความสมบูรณ์ของตู้เย็น
การจะเก็บอาหารให้ได้ยาวนานนั้น อุณหภูมิเป็นเรื่องสำคัญมาก หากอากาศเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียมาก ก็ย่อมมีโอกาสที่อาหารของเราจะบูดเน่าได้ไวกว่า ซึ่งโชคร้ายที่อุณหภูมิร้อนชื้นของบ้านเราเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมของเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ตัว ทั้งซาลโมเนลลา อีโคไล สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ และอื่นๆ ที่ทำให้ท้องเสีย ท้องร่วง หรืออาจเป็นโรคอาหารเป็นพิษได้
นอกจากนี้ หากเก็บรักษาอาหารเอาไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เย็นมากเพียงพอ ก็อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียยังคงเจริญเติบโตได้อยู่ และทำให้อาหารของเราเน่าเสียได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน
ดังนั้น การเก็บอาหารเอาให้ได้นานๆ ต้องทำภาชนะใส่อาหารพร้อมฝาปิดแน่นๆ เข้าช่องแช่แข็งที่มีความเย็นมากกว่า -10 องศาเซลเซียส แช่เอาไว้จนเป็นแข็งโป๊ก ยิ่งแข็ง ยิ่งเย็น ก็ยิ่งเก็บเอาไว้ได้นานขึ้น (ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาหาร และระยะเวลาของเชื้อแบคทีเรียที่อาจเข้ามาทำปฏิกิริยากับอาหารก่อนแช่แข็งด้วย)
เคล็ดลับอีกอย่างสำหรับตู้เย็นคือ ไม่ควรเปิดตู้เย็นบ่อยจนเกินไป และไม่ควรใส่ของจนแน่นเกินไป เพราะถึงแม้เราจะตั้งค่าความเย็นเอาไว้เย็นมากๆ แล้ว แต่หากมีของ หรืออาหารในตู้เย็นแน่นจนเกินไป ก็ทำให้อุณหภูมิในตู้เย็นไม่เย็นเท่าที่ควรจะเป็น ลองนึกถึงห้องแอร์ที่มีคนอัดแน่นเต็มไปหมด แม้ว่าจะเปิดแอร์หนาวมากแล้ว แต่คนก็ยังร้อนอยู่ เพราะความเย็นไม่เพียงพอต่อจำนวนคนนั่นเอง
4. ติดป้ายบอกเวลาเก็บให้ชัดเจน
ก่อนตั้งใจเก็บเข้าตู้เย็นเป็นเวลานานๆ ควรแปะป้าย หรือเขียนลงบนภาชนะให้ชัดเจนว่าเริ่มเก็บเข้าตู้เย็นตั้งแต่เมื่อไร เพราะผ่านไปนานๆ หลายวันก็อาจลืมได้
อายุคร่าวๆ ของอาหารในตู้เย็น
++ เนื้อสัตว์
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 1-2 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 6-9 เดือน
++ อาหารทะเล
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 1-2 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 3-6 เดือน
++ ไข่ไก่
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 21-35 วัน
– (ไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง เพราะไม่ได้ช่วยยืดอายุได้แต่อย่างใด)
++ ผักผลไม้
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 21-35 วัน
– (ไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง เพราะไม่ได้ช่วยยืดอายุได้แต่อย่างใด)
++ อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม
– ในตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้นาน 14 วัน
– ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -10 เก็บได้นาน 1-2 เดือน
5. ไม่ควรเก็บอาหารไว้ในตู้เย็นนานจนเกินไป
แม้ว่าอาหารหลายอย่างจะสามารถเก็บเอาไว้ในช่องแช่แข็งอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส และอยู่ได้เป็นเดือนๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าอย่างไรอาหารแช่แข็งอาจมีความเสี่ยงเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราท้องเสียได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี ควรทานอาหารปรุงสดใหม่ทุกวัน ส่วนอาหารปรุงสุกไม่ควรเก็บเอาไว้ทานเกิน 1-2 วันจะดีที่สุด
Cr. Sanook
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าMonday, April 21st, 2025 at 9:33am
ข้าวเหนียวมะม่วง กินอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ?
มะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี่ ส่วนข้าวเหนียวมูนให้กิน 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี่ เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเทียบเท่ากับแคลอรี่ที่ได้จากอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เช่น โดนัทเคลือบคาราเมล พิซซ่า และแฮมเบอร์เกอร์ ของพวกนี้ก็ให้พลังงานประมาณ 350 กิโลแคลอรี่ แต่ข้าวเหนียวมะม่วงมีคุณค่าทางโภชนาการและเชิงอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่า
1. กินข้าวเหนียวมะม่วงช่วงเวลากลางวัน เพราะกลางวันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการกินมื้อเย็น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ต้องทำน้อยกว่าช่วงกลางวัน พลังงานที่ได้รับเข้าไปอาจเผาผลาญและนำไปใช้ไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้
2. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องระวัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระมัดระวังการกินข้าวเหนียวมะม่วง เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันปริมาณที่ค่อนข้างสูง จึงแนะนำให้กินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรลดปริมาณข้าวเหนียวลงให้เหลือสักครึ่งขีด กรณีที่ต้องการกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
3. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานเทียบเท่ากับการกินอาหารมื้อหลัก 1 มื้อเลยทีเดียว (บะหมี่แห้ง 1 ชาม พิซซ่า 1 ชิ้น) เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป ตัวอย่างการออกกำลังกายที่จะเผาผลาญพลังงานที่ได้จากการกินข้าวเหนียวมะม่ง 1 จาน ได้แก่ วิ่ง 45 นาที ว่ายน้ำ 32 นาที ปั่นจักรยาน 60 นาที และเดิน 100 นาที จึงขอแนะนำว่าทางที่ดีไม่ควรกินเกิน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
4. เลือกกินข้าวเหนียวดำ หรือข้าวเหนียวที่มูนด้วยน้ำกะทิที่ผสมสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน แครอต ขมิ้น และใบเตย เพราะจะได้รับสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าการกินข้าวเหนียวขาว
5. กินมะม่วงแก่จัด เพื่อให้ได้รสชาติดีและสารอาหารจากมะม่วงครบถ้วน ควรซื้อมะม่วงที่แก่จัด และควรปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ เนื่องจากมะม่วงที่บ่มแก๊สจะให้กลิ่นและรสที่ไม่ดีเท่ากับมะม่วงสุกตามธรรมชาติ วิธีการสังเกตคือ มะม่วงที่แก่จัดนั้นผลจะอวบ ด้านล่างของมะม่วงจะไม่แหลม ส่วนมะม่วงที่เก็บมาตอนไม่แก่จัด แล้วนำมาบ่มแก๊สผิวจะเหี่ยว
6. ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล ขนาดกลาง และใน 1 สัปดาห์ไม่ควรกินเกิน 2 ครั้ง ส่วนผู้ป่วยโรคไตควรงดกินมะม่วงสุก เพราะมีปริมาณโพแทสเซียมสูง
Cr. โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
มะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี่ ส่วนข้าวเหนียวมูนให้กิน 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี่ เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเทียบเท่ากับแคลอรี่ที่ได้จากอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เช่น โดนัทเคลือบคาราเมล พิซซ่า และแฮมเบอร์เกอร์ ของพวกนี้ก็ให้พลังงานประมาณ 350 กิโลแคลอรี่ แต่ข้าวเหนียวมะม่วงมีคุณค่าทางโภชนาการและเชิงอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่า
1. กินข้าวเหนียวมะม่วงช่วงเวลากลางวัน เพราะกลางวันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการกินมื้อเย็น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ต้องทำน้อยกว่าช่วงกลางวัน พลังงานที่ได้รับเข้าไปอาจเผาผลาญและนำไปใช้ไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้
2. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องระวัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระมัดระวังการกินข้าวเหนียวมะม่วง เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันปริมาณที่ค่อนข้างสูง จึงแนะนำให้กินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรลดปริมาณข้าวเหนียวลงให้เหลือสักครึ่งขีด กรณีที่ต้องการกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
3. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานเทียบเท่ากับการกินอาหารมื้อหลัก 1 มื้อเลยทีเดียว (บะหมี่แห้ง 1 ชาม พิซซ่า 1 ชิ้น) เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป ตัวอย่างการออกกำลังกายที่จะเผาผลาญพลังงานที่ได้จากการกินข้าวเหนียวมะม่ง 1 จาน ได้แก่ วิ่ง 45 นาที ว่ายน้ำ 32 นาที ปั่นจักรยาน 60 นาที และเดิน 100 นาที จึงขอแนะนำว่าทางที่ดีไม่ควรกินเกิน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
4. เลือกกินข้าวเหนียวดำ หรือข้าวเหนียวที่มูนด้วยน้ำกะทิที่ผสมสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน แครอต ขมิ้น และใบเตย เพราะจะได้รับสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าการกินข้าวเหนียวขาว
5. กินมะม่วงแก่จัด เพื่อให้ได้รสชาติดีและสารอาหารจากมะม่วงครบถ้วน ควรซื้อมะม่วงที่แก่จัด และควรปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ เนื่องจากมะม่วงที่บ่มแก๊สจะให้กลิ่นและรสที่ไม่ดีเท่ากับมะม่วงสุกตามธรรมชาติ วิธีการสังเกตคือ มะม่วงที่แก่จัดนั้นผลจะอวบ ด้านล่างของมะม่วงจะไม่แหลม ส่วนมะม่วงที่เก็บมาตอนไม่แก่จัด แล้วนำมาบ่มแก๊สผิวจะเหี่ยว
6. ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล ขนาดกลาง และใน 1 สัปดาห์ไม่ควรกินเกิน 2 ครั้ง ส่วนผู้ป่วยโรคไตควรงดกินมะม่วงสุก เพราะมีปริมาณโพแทสเซียมสูง
Cr. โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าSaturday, April 19th, 2025 at 10:24am
7 วิธีเตรียมรับมือพายุฤดูร้อน ++
ในประเทศไทยมักเกิดในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม หรือในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูฝน เป็นสาเหตุทำให้เกิดพายุฟ้าคะนอง ลมพัดแรง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือ มีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ อาจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสี่ยงต่อการเกิดพายุฤดูร้อนมากที่สุด ขณะที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อนได้เช่นเดียวกันแต่ไม่บ่อยนัก แต่เราก็ต้องเตรียมตัวรับมือ ด้วย 7 วิธีดังนี้
🔸 1. ❝ติดตามข้อมูลสภาพอากาศและแจ้งเตือนพายุฤดูร้อน❞ 📑 จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของประเทศไทย
🔸 2. ❝ตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างอาคารบ้านเรือน❞ 🏠 ให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง หากมีการชำรุดให้ซ่อมแซมให้เรียบร้อย
🔸 3. ❝หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง❞ 🚧 ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
🔸 4. ❝หลบในบ้าน หรือ อาคารที่มีความแข็งแรง❞ 🏠 ในกรณีที่หาที่หลบไม่ได้ควรทำตัวให้ต่ำสุด ด้วยการนั่งยองเท้าทั้งสองข้างชิดกัน หรือเขย่งอยู่บนปลายเท้า เพื่อให้มีผิวสัมผัสกับพื้นดินน้อยที่สุด ไม่ควรนอนราบกับพื้น เนื่องจากพื้นเปียกเป็นสื่อนำไฟฟ้า
🔸 5. ❝เพิ่มความระมัดระวัง ในการเดินทาง❞ 🚗 ไปยังบริเวณที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง อาจเกิดอันตรายจากลมกระโชกแรงและฟ้าผ่าได้
🔸 6. ❝งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า❞ 📱 โทรศัพท์ และออกห่างจากวัตถุที่เป็นสื่อไฟฟ้าทุกชนิด เช่น ลวด โลหะ ท่อน้ำ แนวรั้วบ้าน รถแทรกเตอร์ จักรยานยนต์ เป็นต้น
🔸 7. ❝ดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวให้แข็งแรงอยู่เสมอ❞ 👨👩👧👦 โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หรือ กลุ่มที่มีโรคประจำตัว
Cr. กองอนามัยฉุกเฉิน กรมอนามัย
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
ในประเทศไทยมักเกิดในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม หรือในช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูฝน เป็นสาเหตุทำให้เกิดพายุฟ้าคะนอง ลมพัดแรง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือ มีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ อาจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสี่ยงต่อการเกิดพายุฤดูร้อนมากที่สุด ขณะที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อนได้เช่นเดียวกันแต่ไม่บ่อยนัก แต่เราก็ต้องเตรียมตัวรับมือ ด้วย 7 วิธีดังนี้
🔸 1. ❝ติดตามข้อมูลสภาพอากาศและแจ้งเตือนพายุฤดูร้อน❞ 📑 จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของประเทศไทย
🔸 2. ❝ตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างอาคารบ้านเรือน❞ 🏠 ให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรง หากมีการชำรุดให้ซ่อมแซมให้เรียบร้อย
🔸 3. ❝หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง❞ 🚧 ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
🔸 4. ❝หลบในบ้าน หรือ อาคารที่มีความแข็งแรง❞ 🏠 ในกรณีที่หาที่หลบไม่ได้ควรทำตัวให้ต่ำสุด ด้วยการนั่งยองเท้าทั้งสองข้างชิดกัน หรือเขย่งอยู่บนปลายเท้า เพื่อให้มีผิวสัมผัสกับพื้นดินน้อยที่สุด ไม่ควรนอนราบกับพื้น เนื่องจากพื้นเปียกเป็นสื่อนำไฟฟ้า
🔸 5. ❝เพิ่มความระมัดระวัง ในการเดินทาง❞ 🚗 ไปยังบริเวณที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง อาจเกิดอันตรายจากลมกระโชกแรงและฟ้าผ่าได้
🔸 6. ❝งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า❞ 📱 โทรศัพท์ และออกห่างจากวัตถุที่เป็นสื่อไฟฟ้าทุกชนิด เช่น ลวด โลหะ ท่อน้ำ แนวรั้วบ้าน รถแทรกเตอร์ จักรยานยนต์ เป็นต้น
🔸 7. ❝ดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวให้แข็งแรงอยู่เสมอ❞ 👨👩👧👦 โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หรือ กลุ่มที่มีโรคประจำตัว
Cr. กองอนามัยฉุกเฉิน กรมอนามัย
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, April 17th, 2025 at 9:49am
กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย กลิ่นไหน มีสรรพคุณช่วยอะไรบ้าง ++
สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยแต่ละกลิ่นมีจุดไหนบ้างที่แตกต่างกันแต่ละกลิ่นช่วยในเรื่องอะไร กลิ่นไหนดีที่เหมาะกับเรา
1. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม มีสรรพคุณทำให้สดชื่น ช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดความอยากอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากผลส้มซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี เมื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมาก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่ง กระจ่างใส
2. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ มีสรรพคุณช่วยคลายเครียด บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ ลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการหวัด ใช้น้ำมันทาเฉพาะจุดก็ช่วยลดอาการคันและบวมจากแมลงกัดต่อย แต่ควรนำไปผ่านกระบวนการทำให้เจือจางก่อนเพราะน้ำมันหอมระเหยถูกสกัดออกมาอย่างเข้มข้น หากทาที่ผิวโดยตรงอาจทำให้ระคายเคืองได้
3. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอม
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอม มีสรรพคุณช่วยให้หายอ่อนเพลีย บรรเทาอาการเครียด ปวดศีรษะ บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ และอาการหวัด นิยมนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ไล่ยุงและแมลง และมีการนำน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้ไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อราที่ผิวหนังอีกด้วย
4. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่ มีสรรพคุณช่วยสร้างสมาธิ เพิ่มความสดชื่น ช่วยให้หายใจโล่ง บรรเทาความเหนื่อยล้า อาการปวดเมื่อย แก้สิว ผดผื่น ลดปัญหาผิวมัน ดูแลหนังศีรษะให้เส้นผมเงางาม กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
5. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นยูคาลิปตัส
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นยูคาลิปตัส มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นเซลล์ในร่างกาย บรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยกลิ่นที่หอมเย็นเฉพาะตัวจึงช่วยลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจสะดวก บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกาย
6. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มินต์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยให้สดชื่น ปลุกความกระปรี้กระเปร่า สร้างความตื่นตัว ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด มีกลิ่นหอมเย็นบรรเทาอาการคัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ
7. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสเปียร์มินต์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นสเปียร์มินต์ มีสรรพคุณบรรเทาอาการเหนื่อยล้า เป็นไข้ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ลดอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ อาการท้องเสีย คลื่นไส้ บรรเทาอาการหอบหืด แตกต่างกับเปปเปอร์มินต์ตรงที่สเปียร์มินต์จะมีกลิ่นที่เบาบางกว่า
8. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นไลม์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นไลม์ มีสรรพคุณช่วยคลายเครียด สร้างความสดชื่น บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ลดอาการหวัด และลดความดันโลหิตสูง สามารถดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
9. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นการบูร
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นการบูร มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลาย กระตุ้นเซลล์ในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ตื่นตัว กลิ่นหอมเย็น ช่วยให้หายใจสะดวก บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ลดอาการวิงเวียนศีรษะ เมารถ เมาเรือ
10. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่น
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นเจอราเนียม มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลาย จิตใจสงบ บรรเทาอาการโพรงจมูกอักเสบ ลดอาการอักเสบของผิว ลดอาการคันที่เกิดจากอาการแพ้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิว
11. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระดังงา
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระดังงา มีสรรพคุณช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวล เสริมสร้างสมาธิ ช่วยในเรื่องการนอนหลับ สามารถบำรุงผิวและเส้นผม รวมถึงกลิ่นที่หอมหวานเย้ายวนใจจึงถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ปรับอากาศด้วย
12. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลายด้วยกลิ่นที่หอมหวานละมุน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องของสุขภาพผิว ให้ผิวดูอ่อนวัย ลดริ้วรอย กระชับผิว ช่วยรักษาผิว น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบจึงถูกนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
Cr. thaimedicos
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยแต่ละกลิ่นมีจุดไหนบ้างที่แตกต่างกันแต่ละกลิ่นช่วยในเรื่องอะไร กลิ่นไหนดีที่เหมาะกับเรา
1. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม มีสรรพคุณทำให้สดชื่น ช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดความอยากอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากผลส้มซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี เมื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมาก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่ง กระจ่างใส
2. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ มีสรรพคุณช่วยคลายเครียด บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ ลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการหวัด ใช้น้ำมันทาเฉพาะจุดก็ช่วยลดอาการคันและบวมจากแมลงกัดต่อย แต่ควรนำไปผ่านกระบวนการทำให้เจือจางก่อนเพราะน้ำมันหอมระเหยถูกสกัดออกมาอย่างเข้มข้น หากทาที่ผิวโดยตรงอาจทำให้ระคายเคืองได้
3. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอม
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอม มีสรรพคุณช่วยให้หายอ่อนเพลีย บรรเทาอาการเครียด ปวดศีรษะ บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ และอาการหวัด นิยมนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ไล่ยุงและแมลง และมีการนำน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้ไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อราที่ผิวหนังอีกด้วย
4. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่ มีสรรพคุณช่วยสร้างสมาธิ เพิ่มความสดชื่น ช่วยให้หายใจโล่ง บรรเทาความเหนื่อยล้า อาการปวดเมื่อย แก้สิว ผดผื่น ลดปัญหาผิวมัน ดูแลหนังศีรษะให้เส้นผมเงางาม กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
5. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นยูคาลิปตัส
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นยูคาลิปตัส มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นเซลล์ในร่างกาย บรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยกลิ่นที่หอมเย็นเฉพาะตัวจึงช่วยลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจสะดวก บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกาย
6. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มินต์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยให้สดชื่น ปลุกความกระปรี้กระเปร่า สร้างความตื่นตัว ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด มีกลิ่นหอมเย็นบรรเทาอาการคัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ
7. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสเปียร์มินต์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นสเปียร์มินต์ มีสรรพคุณบรรเทาอาการเหนื่อยล้า เป็นไข้ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ลดอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ อาการท้องเสีย คลื่นไส้ บรรเทาอาการหอบหืด แตกต่างกับเปปเปอร์มินต์ตรงที่สเปียร์มินต์จะมีกลิ่นที่เบาบางกว่า
8. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นไลม์
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นไลม์ มีสรรพคุณช่วยคลายเครียด สร้างความสดชื่น บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ลดอาการหวัด และลดความดันโลหิตสูง สามารถดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
9. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นการบูร
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นการบูร มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลาย กระตุ้นเซลล์ในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ตื่นตัว กลิ่นหอมเย็น ช่วยให้หายใจสะดวก บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ลดอาการวิงเวียนศีรษะ เมารถ เมาเรือ
10. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่น
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นเจอราเนียม มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลาย จิตใจสงบ บรรเทาอาการโพรงจมูกอักเสบ ลดอาการอักเสบของผิว ลดอาการคันที่เกิดจากอาการแพ้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิว
11. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระดังงา
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระดังงา มีสรรพคุณช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวล เสริมสร้างสมาธิ ช่วยในเรื่องการนอนหลับ สามารถบำรุงผิวและเส้นผม รวมถึงกลิ่นที่หอมหวานเย้ายวนใจจึงถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ปรับอากาศด้วย
12. สรรพคุณน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ มีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลายด้วยกลิ่นที่หอมหวานละมุน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องของสุขภาพผิว ให้ผิวดูอ่อนวัย ลดริ้วรอย กระชับผิว ช่วยรักษาผิว น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบจึงถูกนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
Cr. thaimedicos
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, April 16th, 2025 at 11:11am
7 วิธีรับมือซึมเศร้าหลัง ‘หยุดยาว’ +++
ไหนใครเป็นบ้าง? ตื่นเต้นที่จะได้หยุดยาวช่วง สงกรานต์ แต่พอต้องกลับมาทำงาน แค่นึกถึงโต๊ะที่เต็มไปด้วยงาน ก็ทำให้รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้เรียกว่า “ซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว” โดยเรามี 7 วิธี เพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้มาฝากทุกคน
1. หาแรงจูงใจในการทำงาน : โดยมีทั้งแรงจูงใจทางบวกและทางลบ เช่น การทำงานเพื่อเลื่อนขั้นหรือการทำงานหาเงินมาชำระหนี้
2. อยู่กับปัจจุบัน : โดยการทำรายการภาระงานที่ต้องทำในแต่ละวันให้ชัดเจน และค่อย ๆ ทำตามลิสต์นั้น
3. หาไอดอลในการทำงาน : ผู้มีชื่อเสียงที่เราชื่นชมวิถีการทำงาน ทัศนคติในการทำงาน หรือรูปแบบในการทำงานของเขา
4. วางแผนการท่องเที่ยวในวันหยุดยาวถัดไป : ถ้าหากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการไปเที่ยวในวันหยุดยาวหน้า เราก็พร้อมจะพุ่งชนทุกงานให้สำเร็จได้
5. หากิจกรรมที่ชอบทำหลังเลิกงาน : โดยการทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกาย จิตใจ มีความสุขหลังเลิกงาน
6. รักษา Work Life Balance : การแบ่งเวลาและกิจกรรมในช่วงของการทำงานและการพักผ่อนให้ชัดเจน
7. หากหมดไฟให้แก้ไขโดยด่วน : ตามหาสาเหตุของภาวะ Burnout syndrome แล้วแก้ไขให้ถูกจุด
ถ้าหากว่าเวลาผ่านไปนานสัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ๆ ยังคงมีอาการเหล่านี้อยู่จนทำให้รู้สึกอยากลางาน อาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็น โรคซึมเศร้า หรือไม่
Cr. โรงพยาบาลราชสีมา ฮอสพิทอล
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
ไหนใครเป็นบ้าง? ตื่นเต้นที่จะได้หยุดยาวช่วง สงกรานต์ แต่พอต้องกลับมาทำงาน แค่นึกถึงโต๊ะที่เต็มไปด้วยงาน ก็ทำให้รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้เรียกว่า “ซึมเศร้าหลังวันหยุดยาว” โดยเรามี 7 วิธี เพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้มาฝากทุกคน
1. หาแรงจูงใจในการทำงาน : โดยมีทั้งแรงจูงใจทางบวกและทางลบ เช่น การทำงานเพื่อเลื่อนขั้นหรือการทำงานหาเงินมาชำระหนี้
2. อยู่กับปัจจุบัน : โดยการทำรายการภาระงานที่ต้องทำในแต่ละวันให้ชัดเจน และค่อย ๆ ทำตามลิสต์นั้น
3. หาไอดอลในการทำงาน : ผู้มีชื่อเสียงที่เราชื่นชมวิถีการทำงาน ทัศนคติในการทำงาน หรือรูปแบบในการทำงานของเขา
4. วางแผนการท่องเที่ยวในวันหยุดยาวถัดไป : ถ้าหากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการไปเที่ยวในวันหยุดยาวหน้า เราก็พร้อมจะพุ่งชนทุกงานให้สำเร็จได้
5. หากิจกรรมที่ชอบทำหลังเลิกงาน : โดยการทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกาย จิตใจ มีความสุขหลังเลิกงาน
6. รักษา Work Life Balance : การแบ่งเวลาและกิจกรรมในช่วงของการทำงานและการพักผ่อนให้ชัดเจน
7. หากหมดไฟให้แก้ไขโดยด่วน : ตามหาสาเหตุของภาวะ Burnout syndrome แล้วแก้ไขให้ถูกจุด
ถ้าหากว่าเวลาผ่านไปนานสัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ๆ ยังคงมีอาการเหล่านี้อยู่จนทำให้รู้สึกอยากลางาน อาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็น โรคซึมเศร้า หรือไม่
Cr. โรงพยาบาลราชสีมา ฮอสพิทอล
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว