รู้ไว้ใช่ว่าMonday, December 9th, 2024 at 12:23pm
9 สไตล์ ทรงผม สำหรับหนุ่มผมน้อย-หัวล้าน ++
อย่างไรก็ตาม หากมองโลกในแง่บวก สภาพผมที่มีอยู่ตอนนี้ก็อาจดูดีได้เหมือนกัน หากรู้จักเลือกเอาทรงผมสำหรับคนผมบางแบบเท่ ๆ ไปลองทำดู ว่าแล้วกระปุกดอทคอมเลยขอหยิบ ทรงผมคนผมบาง ให้หนุ่ม ๆ มาดูเป็นไอเดียซะหน่อย บอกเลยจะผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้านก็มีทรงผมชายที่ช่วยอำพรางได้ เอาเป็นว่าลองมาดูทรงที่คิดว่าเหมาะกับลุคของคุณกันเลย
1. ทรง Clean Shaven
ไหน ๆ ก็ผมบางไปซะขนาดนี้แล้ว จะมัวไปตัดทรงโน้นทรงนี้ให้เสียเวลาทำไม โกนหัวไปซะเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนจะล้อว่าเป็นหลวงจีนอะไรเลยทั้งสิ้น หากมองในแง่ดีจริง ๆ ผมทรงนี้กลับดูทะมัดทะแมงสมชายชาตรีออกจะตายไป ไม่เชื่อก็ดูอย่างพวกพระเอกนักบู๊ดัง ๆ ในฮอลลีวูดหลาย ๆ คนสิ ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ อีกทั้งยังไม่ต้องมาพะวงเรื่องการดูแลรักษาอะไรให้วุ่นวายอีกต่างหาก
2. ทรง Buzz Cut
ข้อดีของการตัดผมให้สั้นเกรียนเข้าไว้ก็คือ มันสั้นเสียจนมองออกยากเวลาผมหลุดร่วงออกไปบางส่วนนั่นเอง นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ชายทุกสไตล์ไม่ดูลุยหรือเนี้ยบเกินไปอีกด้วย เพราะพอคุณนึกจะใส่สูทขึ้นมาแล้ว ทรงนี้ก็จะทำให้คุณดูเป็นหนุ่มฉลาดมีไหวพริบ แต่กับชุดสบาย ๆ ก็ดูเป็นคนเรียบง่ายคล่องแคล่วดีเหมือนกัน
3. ทรง Modified Caesar Cut
เมื่อเรามีจุดที่ผมบางไปหย่อมนึงแล้ว เส้นผมรอบ ๆ ก็ควรตัดให้สั้นลงด้วย จะได้ไม่เห็นรอยแหว่งเป็นหย่อม ๆ ชัดนักยังไงล่ะ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่พร้อมจะโกนหัว เพราะกลัวขาดความมั่นใจ และเชื่อว่าสักวันผมอาจจะกลับมาดกดำได้เหมือนเดิม ก็ตัดให้สั้นหน่อย แล้วค่อยใช้เจลหรือขี้ผึ้งจัดทรงผมไปด้านหน้า เท่านี้ก็จะช่วยพรางตาให้ผมดูหนาขึ้นได้แล้ว
4. ทรง Balding Fade
ถ้าเส้นผมของเราดูบาง เผยให้เห็นหัวล้านจนรู้สึกเฟล ก็ทำให้กลายเป็นความเท่ซะสิ ด้วยการไถผมด้านข้างที่ดูบางออก โชว์ไลน์บริเวณขมับด้วยการตัดเฟดแบบคม ๆ แล้วปล่อยให้ผมด้านบนเป็นธรรมชาติ อาจจัดทรงด้วยแว็กซ์เล็กน้อย ยิ่งไว้หนวดเคราช่วย จะทำให้ลุคของคุณเปลี่ยนไปเลยล่ะ
5. ทรง Gradient Grey Crew Cut
ทางเลือกสำหรับคนผมบางในระยะเริ่มแรก แต่ไม่อยากให้ผมสั้นมากเกินไป ทรงนี้ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคุณ ไม่ใช่แค่เพราะมันอินทุกยุคทุกสมัย หรือเข้ากับทุกรูปหน้าได้เท่านั้น แต่การสไลด์ผมเพื่อปกปิดส่วนที่บางเอาไว้นั้น จะหลอกตาให้ผมคุณดูดกหนาขึ้นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งทำสีเฉดเทาจะยิ่งเพิ่มความเท่ คนที่ผมบางตรงกลางกระหม่อมลองเลือกทรงนี้ไปใช้ก็ดีนะ
6. ทรง Short And Spiked
ส่วนใครที่ผมไม้ได้บางหรือหลุดร่วงไปเพียงส่วนเดียว แต่เกิดขึ้นทั่วศีรษะจนไม่สามารถเอาผมหนามาปกปิดได้ ก็ควรตัดให้สั้นพอสมควร แล้วใช้เจลเซตให้ตั้งไว้ดีกว่า ผมจะได้ดูหนามีน้ำหนักมากขึ้น เพราะการทำผมแบบนี้สามารถช่วยพรางตาไม่ให้เห็นเลยว่ามีส่วนที่บางปนอยู่ แถมยังดูสดใสและวัยรุ่นขึ้นด้วย
7. ทรง Faux Hawk
อาจมีบางคนที่ศีรษะล้านจากบริเวณข้างขมับเข้ามาเหมือนกัน ซึ่งทรงนี้จะช่วยดึงความสนใจออกจากส่วนที่เริ่มบางได้ เริ่มด้วยการตัดผมสั้นไล่ตามแนวผม จากนั้นเวลาจะออกจากบ้านก็ใช้เจลเซตให้ผมดูยุ่ง ๆ นิด และปัดเสยหันไปทางด้านข้างเสียหน่อย อย่างไรก็ดี ต้องระวังอย่าให้ดูยุ่งหรือเนี้ยบเกินไปด้วยถึงจะดูดี
8. ทรง Slicked Back
อีกวิธีที่ปกปิดผมบางกลางศีรษะได้ดี ก็คือการเสยผมไปด้านหลังเพื่อปกปิดจุดที่ผมบางไว้นั่นเอง ซึ่งการจะทำทรงนี้คุณต้องอดทนไว้ผมด้านหน้าให้ยาวพอสมควรเสียก่อน เวลาปาดไปด้านหลังมันจะได้ยาวพอปกปิดส่วนที่บางได้ และดูมีน้ำหนักพอสมควรด้วย ที่สำคัญทรงนี้จะปรับลุคให้คุณดูเป็นผู้ใหญ่สุขุมมากขึ้น แต่ต้องระวังอย่าใช้เจลมากไปจนดูมันเยิ้มด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นจากหล่อจะกลายเป็นเชยขึ้นมาเลย
9. ทรง Shag
ไม่จำเป็นว่าคนมีผมบางต้องตัดผมสั้นเสมอไป หากอยากไว้ผมยาวคุณเองก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยการตัดผมทั้งศีรษะให้มีความยาวระดับกลางเท่ากันทั้งหมด แล้วก็ใช้เจลเล็กน้อยป้ายบนมือ จากนั้นจึงสางผมให้ยุ่งนิด ๆ จนออกมาดูเซอร์นิด ๆ ก็ดูเท่สุด ๆ แล้ว แถมยังทำให้ผมบางระยะเริ่มแรกดูไม่สะดุดตาอีกด้วย
Cr. Kapook
#รู้ไว้ใช้ว่า_พ่อบ้าน #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
อย่างไรก็ตาม หากมองโลกในแง่บวก สภาพผมที่มีอยู่ตอนนี้ก็อาจดูดีได้เหมือนกัน หากรู้จักเลือกเอาทรงผมสำหรับคนผมบางแบบเท่ ๆ ไปลองทำดู ว่าแล้วกระปุกดอทคอมเลยขอหยิบ ทรงผมคนผมบาง ให้หนุ่ม ๆ มาดูเป็นไอเดียซะหน่อย บอกเลยจะผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้านก็มีทรงผมชายที่ช่วยอำพรางได้ เอาเป็นว่าลองมาดูทรงที่คิดว่าเหมาะกับลุคของคุณกันเลย
1. ทรง Clean Shaven
ไหน ๆ ก็ผมบางไปซะขนาดนี้แล้ว จะมัวไปตัดทรงโน้นทรงนี้ให้เสียเวลาทำไม โกนหัวไปซะเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนจะล้อว่าเป็นหลวงจีนอะไรเลยทั้งสิ้น หากมองในแง่ดีจริง ๆ ผมทรงนี้กลับดูทะมัดทะแมงสมชายชาตรีออกจะตายไป ไม่เชื่อก็ดูอย่างพวกพระเอกนักบู๊ดัง ๆ ในฮอลลีวูดหลาย ๆ คนสิ ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ อีกทั้งยังไม่ต้องมาพะวงเรื่องการดูแลรักษาอะไรให้วุ่นวายอีกต่างหาก
2. ทรง Buzz Cut
ข้อดีของการตัดผมให้สั้นเกรียนเข้าไว้ก็คือ มันสั้นเสียจนมองออกยากเวลาผมหลุดร่วงออกไปบางส่วนนั่นเอง นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ชายทุกสไตล์ไม่ดูลุยหรือเนี้ยบเกินไปอีกด้วย เพราะพอคุณนึกจะใส่สูทขึ้นมาแล้ว ทรงนี้ก็จะทำให้คุณดูเป็นหนุ่มฉลาดมีไหวพริบ แต่กับชุดสบาย ๆ ก็ดูเป็นคนเรียบง่ายคล่องแคล่วดีเหมือนกัน
3. ทรง Modified Caesar Cut
เมื่อเรามีจุดที่ผมบางไปหย่อมนึงแล้ว เส้นผมรอบ ๆ ก็ควรตัดให้สั้นลงด้วย จะได้ไม่เห็นรอยแหว่งเป็นหย่อม ๆ ชัดนักยังไงล่ะ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่พร้อมจะโกนหัว เพราะกลัวขาดความมั่นใจ และเชื่อว่าสักวันผมอาจจะกลับมาดกดำได้เหมือนเดิม ก็ตัดให้สั้นหน่อย แล้วค่อยใช้เจลหรือขี้ผึ้งจัดทรงผมไปด้านหน้า เท่านี้ก็จะช่วยพรางตาให้ผมดูหนาขึ้นได้แล้ว
4. ทรง Balding Fade
ถ้าเส้นผมของเราดูบาง เผยให้เห็นหัวล้านจนรู้สึกเฟล ก็ทำให้กลายเป็นความเท่ซะสิ ด้วยการไถผมด้านข้างที่ดูบางออก โชว์ไลน์บริเวณขมับด้วยการตัดเฟดแบบคม ๆ แล้วปล่อยให้ผมด้านบนเป็นธรรมชาติ อาจจัดทรงด้วยแว็กซ์เล็กน้อย ยิ่งไว้หนวดเคราช่วย จะทำให้ลุคของคุณเปลี่ยนไปเลยล่ะ
5. ทรง Gradient Grey Crew Cut
ทางเลือกสำหรับคนผมบางในระยะเริ่มแรก แต่ไม่อยากให้ผมสั้นมากเกินไป ทรงนี้ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคุณ ไม่ใช่แค่เพราะมันอินทุกยุคทุกสมัย หรือเข้ากับทุกรูปหน้าได้เท่านั้น แต่การสไลด์ผมเพื่อปกปิดส่วนที่บางเอาไว้นั้น จะหลอกตาให้ผมคุณดูดกหนาขึ้นได้อย่างง่ายดาย ยิ่งทำสีเฉดเทาจะยิ่งเพิ่มความเท่ คนที่ผมบางตรงกลางกระหม่อมลองเลือกทรงนี้ไปใช้ก็ดีนะ
6. ทรง Short And Spiked
ส่วนใครที่ผมไม้ได้บางหรือหลุดร่วงไปเพียงส่วนเดียว แต่เกิดขึ้นทั่วศีรษะจนไม่สามารถเอาผมหนามาปกปิดได้ ก็ควรตัดให้สั้นพอสมควร แล้วใช้เจลเซตให้ตั้งไว้ดีกว่า ผมจะได้ดูหนามีน้ำหนักมากขึ้น เพราะการทำผมแบบนี้สามารถช่วยพรางตาไม่ให้เห็นเลยว่ามีส่วนที่บางปนอยู่ แถมยังดูสดใสและวัยรุ่นขึ้นด้วย
7. ทรง Faux Hawk
อาจมีบางคนที่ศีรษะล้านจากบริเวณข้างขมับเข้ามาเหมือนกัน ซึ่งทรงนี้จะช่วยดึงความสนใจออกจากส่วนที่เริ่มบางได้ เริ่มด้วยการตัดผมสั้นไล่ตามแนวผม จากนั้นเวลาจะออกจากบ้านก็ใช้เจลเซตให้ผมดูยุ่ง ๆ นิด และปัดเสยหันไปทางด้านข้างเสียหน่อย อย่างไรก็ดี ต้องระวังอย่าให้ดูยุ่งหรือเนี้ยบเกินไปด้วยถึงจะดูดี
8. ทรง Slicked Back
อีกวิธีที่ปกปิดผมบางกลางศีรษะได้ดี ก็คือการเสยผมไปด้านหลังเพื่อปกปิดจุดที่ผมบางไว้นั่นเอง ซึ่งการจะทำทรงนี้คุณต้องอดทนไว้ผมด้านหน้าให้ยาวพอสมควรเสียก่อน เวลาปาดไปด้านหลังมันจะได้ยาวพอปกปิดส่วนที่บางได้ และดูมีน้ำหนักพอสมควรด้วย ที่สำคัญทรงนี้จะปรับลุคให้คุณดูเป็นผู้ใหญ่สุขุมมากขึ้น แต่ต้องระวังอย่าใช้เจลมากไปจนดูมันเยิ้มด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นจากหล่อจะกลายเป็นเชยขึ้นมาเลย
9. ทรง Shag
ไม่จำเป็นว่าคนมีผมบางต้องตัดผมสั้นเสมอไป หากอยากไว้ผมยาวคุณเองก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยการตัดผมทั้งศีรษะให้มีความยาวระดับกลางเท่ากันทั้งหมด แล้วก็ใช้เจลเล็กน้อยป้ายบนมือ จากนั้นจึงสางผมให้ยุ่งนิด ๆ จนออกมาดูเซอร์นิด ๆ ก็ดูเท่สุด ๆ แล้ว แถมยังทำให้ผมบางระยะเริ่มแรกดูไม่สะดุดตาอีกด้วย
Cr. Kapook
#รู้ไว้ใช้ว่า_พ่อบ้าน #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าSunday, December 8th, 2024 at 1:33pm
เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่ออดนอน ?
ได้มีการศึกษากลุ่มคนที่อดนอนเป็นระยะเวลา 24 48 และ 72 ชั่วโมง และสังเกตแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของร่างกายไว้ดังนี้
• อดนอน 24 ชั่วโมง – คนส่วนใหญ่จะเริ่มประสบผลกระทบจากการอดนอนหลังจาก 24 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การตื่นตัวอยู่อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เปรียบได้กับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด (BAC) 0.10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (เปรียบได้กับการดื่มสุรา 12 แก้ว แก้วละ 2 ฝา) ผลของการอดนอนเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง อาจรวมถึง อาการง่วงนอน, หงุดหงิด, สมาธิและความจำแย่ลง, การตัดสินใจเชื่องช้าและผิดพลาด, ระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีนเพิ่มขึ้น, ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้น เนื่องจากสมองพยายามรักษาระดับพลังงานโดยการเข้าสู่สถานะที่ทางการแพทย์เรียกว่า “Local Sleep” โดยในสภาวะเช่นนี้ ร่างกายจะหยุดการทำงานของเซลล์ประสาทบางส่วนในสมอง ส่งผลให้คนที่อดนอนในช่วงนี้ มีความสามารถในการทำงานที่ซับซ้อนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
• อดนอน 48 ชั่วโมง – สมองจะเริ่มหมดสติโดยสมบูรณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือที่เรียกกันว่า “Microsleep” ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่สามารถขัดขืนได้ และในแต่ละครั้งอาจกินเวลานานหลายวินาที นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการรับรู้ของคนที่อดนอนจะแย่ลงและรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
• อดนอน 72 ชั่วโมง – จากการศึกษาในปี ค.ศ. 2015 นักบินอวกาศสองคนมีความบกพร่องเกี่ยวกับการทำงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์, อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และอารมณ์ทางบวกที่ลดลงหลังจากต้องตื่นนอนเป็นเวลา 3 วัน กล่าวคือ การอดนอนในระดับนี้ จะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์และความคิดของตัวบุคคล
ถึงแม้ว่าการอดนอนจะเป็นการใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา แต่การอดนอนนั้นกลับส่งผลเสียให้กับชีวิตเสียมากกว่า ทั้งผลเสียในระยะสั้น เช่น ความตึงเครียด, ความทรงจำระยะสั้นที่แย่ลง, ความตื่นตัวที่ลดลง หรืออาจส่งผลให้ประสบอุบัติเหตุจากความง่วงซึมได้ และผลเสียในระยะยาว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, เบาหวาน, ความดัน, โรคหัวใจ รวมไปถึงความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้าอีกด้วย ถึงแม้จะมีใครสามารถนำเอาเวลานอนพักผ่อนมาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่งานนั้นก็คงต้องแลกกับผลเสียที่จะตามมาอีกมากมาย อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
Cr. ทรูปลูกปัญญา
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
ได้มีการศึกษากลุ่มคนที่อดนอนเป็นระยะเวลา 24 48 และ 72 ชั่วโมง และสังเกตแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของร่างกายไว้ดังนี้
• อดนอน 24 ชั่วโมง – คนส่วนใหญ่จะเริ่มประสบผลกระทบจากการอดนอนหลังจาก 24 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การตื่นตัวอยู่อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เปรียบได้กับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด (BAC) 0.10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (เปรียบได้กับการดื่มสุรา 12 แก้ว แก้วละ 2 ฝา) ผลของการอดนอนเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง อาจรวมถึง อาการง่วงนอน, หงุดหงิด, สมาธิและความจำแย่ลง, การตัดสินใจเชื่องช้าและผิดพลาด, ระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีนเพิ่มขึ้น, ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้น เนื่องจากสมองพยายามรักษาระดับพลังงานโดยการเข้าสู่สถานะที่ทางการแพทย์เรียกว่า “Local Sleep” โดยในสภาวะเช่นนี้ ร่างกายจะหยุดการทำงานของเซลล์ประสาทบางส่วนในสมอง ส่งผลให้คนที่อดนอนในช่วงนี้ มีความสามารถในการทำงานที่ซับซ้อนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
• อดนอน 48 ชั่วโมง – สมองจะเริ่มหมดสติโดยสมบูรณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือที่เรียกกันว่า “Microsleep” ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่สามารถขัดขืนได้ และในแต่ละครั้งอาจกินเวลานานหลายวินาที นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการรับรู้ของคนที่อดนอนจะแย่ลงและรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
• อดนอน 72 ชั่วโมง – จากการศึกษาในปี ค.ศ. 2015 นักบินอวกาศสองคนมีความบกพร่องเกี่ยวกับการทำงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์, อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และอารมณ์ทางบวกที่ลดลงหลังจากต้องตื่นนอนเป็นเวลา 3 วัน กล่าวคือ การอดนอนในระดับนี้ จะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์และความคิดของตัวบุคคล
ถึงแม้ว่าการอดนอนจะเป็นการใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา แต่การอดนอนนั้นกลับส่งผลเสียให้กับชีวิตเสียมากกว่า ทั้งผลเสียในระยะสั้น เช่น ความตึงเครียด, ความทรงจำระยะสั้นที่แย่ลง, ความตื่นตัวที่ลดลง หรืออาจส่งผลให้ประสบอุบัติเหตุจากความง่วงซึมได้ และผลเสียในระยะยาว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, เบาหวาน, ความดัน, โรคหัวใจ รวมไปถึงความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้าอีกด้วย ถึงแม้จะมีใครสามารถนำเอาเวลานอนพักผ่อนมาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้นก็ตาม แต่งานนั้นก็คงต้องแลกกับผลเสียที่จะตามมาอีกมากมาย อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
Cr. ทรูปลูกปัญญา
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าSaturday, December 7th, 2024 at 3:09pm
วิธีสังเกตอาการ เหงือกร่น +
1. มีอาการปวดฟัน เสียวฟัน ขณะรับประทานอาหาร
2. ตัวฟันมีลักษณะยาวขึ้นและเหงือกสั้นลง
3. ฟันเริ่มโยก
4. เริ่มมีกลิ่นปาก
5. มีเลือดออกตามไรฟันเวลาแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
6. มีอาการเจ็บปวด
เหงือกร่น สาเหตุเกิดจากอะไร?
เหงือกร่น เป็นอาการบ่งบอกถึงสุขภาพเหงือกอ่อนแอและอาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย หากสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าฟันของเรามีลักษณะยาวขึ้นนั่นหมายถึงภาวะที่เหงือกร่นลงไปหารากฟัน เนื้อฟันของเรายิ่งมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น ร้ายแรงที่สุดหากไม่ได้รับการรักษาได้ทันเราจะต้องสูญเสียฟันแท้ไปอย่างถาวร ซึ่งสาเหตุของการทำให้เหงือกร่น คือ
1. การเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนกับเหงือกโดยตรง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การออกกำลังกายที่มีการปะทะกันระหว่างอุปกรณ์หรือร่างกาย ได้รับแรงกระแทกที่ปากและเกิดบาดเจ็บ ก็สามารถทำให้เนื้อเยื่อเหงือกเกิดตายและร่นเข้าหารากฟัน
2. การใส่อุปกรณ์จัดฟันประเภทโลหะนานเกินความจำเป็น เนื่องจากอุปกรณ์จัดฟันมีหน้าที่ทำให้ฟันมีการเคลื่อนที่ หากบางคนปล่อยระยะเวลาไว้นานจนเกินไปไม่เข้าพบทันตแพทย์ตามนัด เครื่องมือจัดฟันจะส่งผลต่อเหงือกได้เช่นกัน เพราะทันตแพทย์จะคำนวณระยะเวลาเพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ตามแผนการรักษา บางคนปล่อยไว้เป็นเวลานานก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เหงือกร่นได้เช่นกัน กรณีนี้รวมถึงผู้ที่ใส่เครื่องมือจัดฟันแน่นจนเกินไปด้วย เพราะจะทำให้เครื่องมือบีบรัดเหงือกจนเกินไปก็ทำให้เหงือกเกิดการระคายเคืองและทำให้เหงือกอ่อนแอ และร่นเข้าหาเนื้อฟันได้
3. ทำความสะอาดฟันผิดวิธี / ไม่สะอาดพอ เช่น การแปรงฟันแรงหรือการเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแข็งจนเกินไป ซึ่งอาจะทำให้เหงือกเกิดการอักเสบได้ และการแปรงฟันไม่สะอาด ไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปากทำความสะอาดร่วมด้วย ทำให้เศษอาหารติดตามซอกฟันจนเกิดคราบหินปูน หากไม่ได้ทำการรักษาหินปูนที่เกาะติดอยู่ก็เป็นสาเหตุทำให้เหงือกร่นได้
4. พฤติกรรมส่วนตัว เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้เกิดคราบหินปูนจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเหล้าและบุหรี่ ทำให้เกิดคราบที่ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด และคราบหินปูนจะค่อยๆ ก่อตัวและทำลายเหงือกไปเรื่อยๆ จนทำให้เหงือกร่น รวมถึงพฤติกรรมการนอนกัดฟันด้วย เมื่อเกิดแรงกดแรงเคี้ยวหนัก ก็ส่งผลทำให้เหงือกนั้นร่นไปถึงโคนฟัน
Cr. BFC Dental
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. มีอาการปวดฟัน เสียวฟัน ขณะรับประทานอาหาร
2. ตัวฟันมีลักษณะยาวขึ้นและเหงือกสั้นลง
3. ฟันเริ่มโยก
4. เริ่มมีกลิ่นปาก
5. มีเลือดออกตามไรฟันเวลาแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
6. มีอาการเจ็บปวด
เหงือกร่น สาเหตุเกิดจากอะไร?
เหงือกร่น เป็นอาการบ่งบอกถึงสุขภาพเหงือกอ่อนแอและอาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย หากสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าฟันของเรามีลักษณะยาวขึ้นนั่นหมายถึงภาวะที่เหงือกร่นลงไปหารากฟัน เนื้อฟันของเรายิ่งมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น ร้ายแรงที่สุดหากไม่ได้รับการรักษาได้ทันเราจะต้องสูญเสียฟันแท้ไปอย่างถาวร ซึ่งสาเหตุของการทำให้เหงือกร่น คือ
1. การเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนกับเหงือกโดยตรง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การออกกำลังกายที่มีการปะทะกันระหว่างอุปกรณ์หรือร่างกาย ได้รับแรงกระแทกที่ปากและเกิดบาดเจ็บ ก็สามารถทำให้เนื้อเยื่อเหงือกเกิดตายและร่นเข้าหารากฟัน
2. การใส่อุปกรณ์จัดฟันประเภทโลหะนานเกินความจำเป็น เนื่องจากอุปกรณ์จัดฟันมีหน้าที่ทำให้ฟันมีการเคลื่อนที่ หากบางคนปล่อยระยะเวลาไว้นานจนเกินไปไม่เข้าพบทันตแพทย์ตามนัด เครื่องมือจัดฟันจะส่งผลต่อเหงือกได้เช่นกัน เพราะทันตแพทย์จะคำนวณระยะเวลาเพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ตามแผนการรักษา บางคนปล่อยไว้เป็นเวลานานก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เหงือกร่นได้เช่นกัน กรณีนี้รวมถึงผู้ที่ใส่เครื่องมือจัดฟันแน่นจนเกินไปด้วย เพราะจะทำให้เครื่องมือบีบรัดเหงือกจนเกินไปก็ทำให้เหงือกเกิดการระคายเคืองและทำให้เหงือกอ่อนแอ และร่นเข้าหาเนื้อฟันได้
3. ทำความสะอาดฟันผิดวิธี / ไม่สะอาดพอ เช่น การแปรงฟันแรงหรือการเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแข็งจนเกินไป ซึ่งอาจะทำให้เหงือกเกิดการอักเสบได้ และการแปรงฟันไม่สะอาด ไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปากทำความสะอาดร่วมด้วย ทำให้เศษอาหารติดตามซอกฟันจนเกิดคราบหินปูน หากไม่ได้ทำการรักษาหินปูนที่เกาะติดอยู่ก็เป็นสาเหตุทำให้เหงือกร่นได้
4. พฤติกรรมส่วนตัว เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้เกิดคราบหินปูนจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเหล้าและบุหรี่ ทำให้เกิดคราบที่ทำให้ยากต่อการทำความสะอาด และคราบหินปูนจะค่อยๆ ก่อตัวและทำลายเหงือกไปเรื่อยๆ จนทำให้เหงือกร่น รวมถึงพฤติกรรมการนอนกัดฟันด้วย เมื่อเกิดแรงกดแรงเคี้ยวหนัก ก็ส่งผลทำให้เหงือกนั้นร่นไปถึงโคนฟัน
Cr. BFC Dental
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าFriday, December 6th, 2024 at 8:13am
ไฟฟ้าสถิตในผ้าห่ม !
– ไฟฟ้าสถิตในผ้าห่มไม่ได้เกิดจากผิวแห้ง แต่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีเพียงพอ เช่น ผ้าห่มที่ทำจากวัสดุที่มีความนำไฟฟ้าได้ดี เป็นต้น
– ไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้าเกิดจากการที่ผ้าห่มนั้นสามารถสะสมประจุไฟฟ้าได้ในขณะที่มีการนิ่งอยู่กับผิวของร่างกายหรือที่นอน. เมื่อมีการสะสมประจุไฟฟ้าเพียงพอและมีการแลกเปลี่ยนไฟฟ้าระหว่างผ้าห่มกับร่างกายหรือสิ่งแวดล้อมได้, ก็สามารถเกิดไฟฟ้าสถิตได้.
– ปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้แก่ การสัมผัสระหว่างผ้าห่มกับผิวหนัง, ความแห้งของอากาศ, และสภาพอื่นๆที่ส่งผลกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้า
วิธีการแก้ลดเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า
เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า คุณสามารถลดการสะสมประจุไฟฟ้าได้โดยบางวิธีต่อไปนี้:
1. **ใช้ผ้าห่มที่มีวัสดุนำไฟฟ้าได้น้อย**: เลือกใช้ผ้าห่มที่ไม่สะสมไฟฟ้าได้มาก หรือที่ผลิตด้วยวัสดุที่มีความต้านไฟฟ้าสถิตมากขึ้น.
2. **ระบายความชื้น**: ใช้เครื่องระบายความชื้นในห้องหรือเปิดหน้าต่างเพื่อลดความแห้งที่สามารถสะสมไฟฟ้าได้.
3. **สวมเสื้อผ้าหรือใช้ผ้าปูหนาหรือเตียงที่ไม่ทำให้การสัมผัสไฟฟ้าเกิดขึ้นได้**: นอกจากนี้, การสวมเสื้อผ้าหรือใช้ผ้าปูหนาที่ไม่สะสมไฟฟ้าได้ย่อมช่วยลดโอกาสในการเกิดไฟฟ้าสถิต.
4. **ควบคุมอุณหภูมิห้อง**: การควบคุมอุณหภูมิในห้องทำให้ไม่แห้งเกินไปและลดโอกาสในการเกิดไฟฟ้าสถิต.
การนำเสนอเคล็ดลับนี้อาจช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างไปตามเงื่อนไขแวดล้อมของคุณ
Cr. Soft Touch สัมผัสนุ่ม
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
– ไฟฟ้าสถิตในผ้าห่มไม่ได้เกิดจากผิวแห้ง แต่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีเพียงพอ เช่น ผ้าห่มที่ทำจากวัสดุที่มีความนำไฟฟ้าได้ดี เป็นต้น
– ไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้าเกิดจากการที่ผ้าห่มนั้นสามารถสะสมประจุไฟฟ้าได้ในขณะที่มีการนิ่งอยู่กับผิวของร่างกายหรือที่นอน. เมื่อมีการสะสมประจุไฟฟ้าเพียงพอและมีการแลกเปลี่ยนไฟฟ้าระหว่างผ้าห่มกับร่างกายหรือสิ่งแวดล้อมได้, ก็สามารถเกิดไฟฟ้าสถิตได้.
– ปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้แก่ การสัมผัสระหว่างผ้าห่มกับผิวหนัง, ความแห้งของอากาศ, และสภาพอื่นๆที่ส่งผลกระตุ้นให้เกิดกระแสไฟฟ้า
วิธีการแก้ลดเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า
เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า คุณสามารถลดการสะสมประจุไฟฟ้าได้โดยบางวิธีต่อไปนี้:
1. **ใช้ผ้าห่มที่มีวัสดุนำไฟฟ้าได้น้อย**: เลือกใช้ผ้าห่มที่ไม่สะสมไฟฟ้าได้มาก หรือที่ผลิตด้วยวัสดุที่มีความต้านไฟฟ้าสถิตมากขึ้น.
2. **ระบายความชื้น**: ใช้เครื่องระบายความชื้นในห้องหรือเปิดหน้าต่างเพื่อลดความแห้งที่สามารถสะสมไฟฟ้าได้.
3. **สวมเสื้อผ้าหรือใช้ผ้าปูหนาหรือเตียงที่ไม่ทำให้การสัมผัสไฟฟ้าเกิดขึ้นได้**: นอกจากนี้, การสวมเสื้อผ้าหรือใช้ผ้าปูหนาที่ไม่สะสมไฟฟ้าได้ย่อมช่วยลดโอกาสในการเกิดไฟฟ้าสถิต.
4. **ควบคุมอุณหภูมิห้อง**: การควบคุมอุณหภูมิในห้องทำให้ไม่แห้งเกินไปและลดโอกาสในการเกิดไฟฟ้าสถิต.
การนำเสนอเคล็ดลับนี้อาจช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตเวลาห่มผ้า แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างไปตามเงื่อนไขแวดล้อมของคุณ
Cr. Soft Touch สัมผัสนุ่ม
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, December 5th, 2024 at 3:32pm
อันตรายของการ ปั่นหู!
การ ปั่นหู อาจทำให้เกิดอันตรายต่อหูได้ เช่น บริเวณรูหู และเยื่อแก้วหู โดยอาจมีอาการหรือภาวะ ดังนี้
1. เป็นแผลในรูหู
มีอาการปวดหู หูอื้อ และอาจมีเลือดหรือน้ำหนองไหลออกมาจากหู
2. หูชั้นนอกอักเสบ
มีอาการคันในรูหู ปวดหู หูอื้อ ได้ยินลดลง อาจมีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากช่องหู บางรายที่ติดเชื้อจนเป็นฝีหนองอาจมีไข้ร่วมด้วยได้
3. หูอื้อ เช่น จากภาวะขี้หูอุดตัน
4. แก้วหูทะลุ
จะมีอาการเจ็บปวดที่หูมาก สูญเสียการได้ยินได้
5. ขี้หูอุดตัน
มีอาการแน่นหู หูอื้อ การได้ยินลดลง
6. มีเลือดออกในช่องหู เช่น จากแผลในรูหู
โดยปกติแพทย์ไม่แนะนำให้ แคะ ปั่นหู ด้วยตัวเอง หากมีอาการผิดปกติ เช่น หูอื้อ ปวดหู คันหู การได้ยินลดลง มีหนองออกที่หู ควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ วินิจฉัย และเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
Cr. งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
การ ปั่นหู อาจทำให้เกิดอันตรายต่อหูได้ เช่น บริเวณรูหู และเยื่อแก้วหู โดยอาจมีอาการหรือภาวะ ดังนี้
1. เป็นแผลในรูหู
มีอาการปวดหู หูอื้อ และอาจมีเลือดหรือน้ำหนองไหลออกมาจากหู
2. หูชั้นนอกอักเสบ
มีอาการคันในรูหู ปวดหู หูอื้อ ได้ยินลดลง อาจมีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากช่องหู บางรายที่ติดเชื้อจนเป็นฝีหนองอาจมีไข้ร่วมด้วยได้
3. หูอื้อ เช่น จากภาวะขี้หูอุดตัน
4. แก้วหูทะลุ
จะมีอาการเจ็บปวดที่หูมาก สูญเสียการได้ยินได้
5. ขี้หูอุดตัน
มีอาการแน่นหู หูอื้อ การได้ยินลดลง
6. มีเลือดออกในช่องหู เช่น จากแผลในรูหู
โดยปกติแพทย์ไม่แนะนำให้ แคะ ปั่นหู ด้วยตัวเอง หากมีอาการผิดปกติ เช่น หูอื้อ ปวดหู คันหู การได้ยินลดลง มีหนองออกที่หู ควรเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ วินิจฉัย และเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
Cr. งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, December 4th, 2024 at 8:14am
ถ้าเจอ หมาวิ่งไล่กัด ควรทำอย่างไร?
1. อย่าแสดงความกลัว ต้องกล้าเผชิญหน้า
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ “ตั้งสติให้ดี” ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกหรือตกใจจนเกินเหตุ แม้กำลังถูกน้องหมาขู่และเห่าใส่อย่างไม่ยั้ง เพราะน้องหมา รวมไปถึงสัตว์นานาชนิด ต่างมีสัญชาตญาณที่รับรู้ความกลัวของมนุษย์ได้ ยิ่งถ้าคุณตกใจกลัว จนร้องกรี๊ดหรือวิ่งหนี ทำให้คุณไม่ต่างจากเหยื่ออ่อนแอที่น้องหมาสามารถแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือจู่โจมใส่ได้
2. อย่าวิ่ง
การที่มีอะไรเคลื่อนผ่านหน้าน้องหมาด้วยความเร็ว ไม่ต่างจากการไปกระตุ้นให้เขาตื่นตัว ตกใจ ทั้งยังกระตุ้นสัญชาตญาณในการล่าของน้องหมาอีกด้วย จึงไม่แปลก ถ้าน้องหมาแปลกหน้าบางตัว จะวิ่งไล่เห่าเวลาคุณปั่นจักรยาน หรือวิ่งผ่านไปด้วยความเร็ว
3. พยายามอย่าส่งเสียงดัง
การที่คุณส่งเสียงดัง อาจกลายเป็นการกระตุ้นให้น้องหมา เกิดอาการตื่นตกใจ จนแสดงสัญชาตญาณในการป้องกันตัว อย่างขู่ หรือกัดคุณได้
4. ห้ามจ้องตาเด็ดขาด
“เกมจ้องตา” ก็มา แต่งานนี้ ไม่ได้จบที่ใครหลบตาก่อนแล้วแพ้นะ เพราะถึงคุณเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ถูกวิ่งไล่กวด เนื่องจากตามภาษากายของน้องหมา “การจ้องตาหรือมองตา = การท้าทาย” ทำให้การจ้องตาไม่ต่างจากคำเชิญชวนให้น้องหมาวิ่งเข้ามากัดคุณเลย
5. อาวุธในมือ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
หลายคนเชื่อว่า อาวุธอยู่ในมือ นอกจากช่วยให้อุ่นใจแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยให้คุณยามเผชิญหน้าน้องหมาอีกด้วย แต่บอกเลยว่า นั่นคือความเชื่อผิด ๆ เพราะการถืออาวุธอย่างไม้ไว้ในมือ อาจทำให้น้องหมารู้สึกตกใจ จนแสดงอาการขู่หรือกัด ตามสัญชาตญาณการป้องกันตัว อันนี้ รวมถึงอาวุธประเภทอื่น ๆ ด้วยนะ
6. เบี่ยงเบนความสนใจ
หากประเมินสถานการณ์แล้ว ยังไงก็ไม่รอด ต้องโดนจู่โจมแน่ ๆ ขอให้คุณพยายามเบนเบี่ยงความสนใจของน้องหมาด้วยสิ่งของที่มีอยู่ในตัว อาทิ ขนม อาหาร รองเท้า หนังสือ หมวก หรือกระเป๋า โดยการโยนสิ่งของเหล่านั้นไปอีกทาง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของน้องหมา และอาศัยจังหวะที่น้องหมาเผลอรีบวิ่งหนีไปยังที่ปลอดภัยทันที
7. อย่าเสี่ยง
หากคุณหลุดเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน เข้าไปตรงบริเวณที่มีน้องหมากำลังจับกลุ่มอยู่ 4-5 ตัว ขอแนะนำให้หันหลังกลับ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางทันที อย่าคิดเสี่ยงเด็ดขาด เปอร์เซ็นต์ถูกวิ่งไล่กวดค่อนข้างสูง แต่หากจำเป็นจริง ๆ ก็ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ จูงจักรยาน หรือค่อย ๆ ปั่นจักรยานผ่านเส้นทางนั้น
แม้ว่า คำแนะนำพวกนี้อาจช่วยให้คุณรอดพ้นจากคมเขี้ยวของน้องหมาได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การตั้งสติให้ดี เพราะเป็นเพียงวิธีเดียวที่ช่วยให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้
Cr. Sanook
#รู้ไว้ใช่ว่า_ธรรมชาติ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. อย่าแสดงความกลัว ต้องกล้าเผชิญหน้า
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ “ตั้งสติให้ดี” ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกหรือตกใจจนเกินเหตุ แม้กำลังถูกน้องหมาขู่และเห่าใส่อย่างไม่ยั้ง เพราะน้องหมา รวมไปถึงสัตว์นานาชนิด ต่างมีสัญชาตญาณที่รับรู้ความกลัวของมนุษย์ได้ ยิ่งถ้าคุณตกใจกลัว จนร้องกรี๊ดหรือวิ่งหนี ทำให้คุณไม่ต่างจากเหยื่ออ่อนแอที่น้องหมาสามารถแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือจู่โจมใส่ได้
2. อย่าวิ่ง
การที่มีอะไรเคลื่อนผ่านหน้าน้องหมาด้วยความเร็ว ไม่ต่างจากการไปกระตุ้นให้เขาตื่นตัว ตกใจ ทั้งยังกระตุ้นสัญชาตญาณในการล่าของน้องหมาอีกด้วย จึงไม่แปลก ถ้าน้องหมาแปลกหน้าบางตัว จะวิ่งไล่เห่าเวลาคุณปั่นจักรยาน หรือวิ่งผ่านไปด้วยความเร็ว
3. พยายามอย่าส่งเสียงดัง
การที่คุณส่งเสียงดัง อาจกลายเป็นการกระตุ้นให้น้องหมา เกิดอาการตื่นตกใจ จนแสดงสัญชาตญาณในการป้องกันตัว อย่างขู่ หรือกัดคุณได้
4. ห้ามจ้องตาเด็ดขาด
“เกมจ้องตา” ก็มา แต่งานนี้ ไม่ได้จบที่ใครหลบตาก่อนแล้วแพ้นะ เพราะถึงคุณเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ถูกวิ่งไล่กวด เนื่องจากตามภาษากายของน้องหมา “การจ้องตาหรือมองตา = การท้าทาย” ทำให้การจ้องตาไม่ต่างจากคำเชิญชวนให้น้องหมาวิ่งเข้ามากัดคุณเลย
5. อาวุธในมือ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
หลายคนเชื่อว่า อาวุธอยู่ในมือ นอกจากช่วยให้อุ่นใจแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยให้คุณยามเผชิญหน้าน้องหมาอีกด้วย แต่บอกเลยว่า นั่นคือความเชื่อผิด ๆ เพราะการถืออาวุธอย่างไม้ไว้ในมือ อาจทำให้น้องหมารู้สึกตกใจ จนแสดงอาการขู่หรือกัด ตามสัญชาตญาณการป้องกันตัว อันนี้ รวมถึงอาวุธประเภทอื่น ๆ ด้วยนะ
6. เบี่ยงเบนความสนใจ
หากประเมินสถานการณ์แล้ว ยังไงก็ไม่รอด ต้องโดนจู่โจมแน่ ๆ ขอให้คุณพยายามเบนเบี่ยงความสนใจของน้องหมาด้วยสิ่งของที่มีอยู่ในตัว อาทิ ขนม อาหาร รองเท้า หนังสือ หมวก หรือกระเป๋า โดยการโยนสิ่งของเหล่านั้นไปอีกทาง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของน้องหมา และอาศัยจังหวะที่น้องหมาเผลอรีบวิ่งหนีไปยังที่ปลอดภัยทันที
7. อย่าเสี่ยง
หากคุณหลุดเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน เข้าไปตรงบริเวณที่มีน้องหมากำลังจับกลุ่มอยู่ 4-5 ตัว ขอแนะนำให้หันหลังกลับ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางทันที อย่าคิดเสี่ยงเด็ดขาด เปอร์เซ็นต์ถูกวิ่งไล่กวดค่อนข้างสูง แต่หากจำเป็นจริง ๆ ก็ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ จูงจักรยาน หรือค่อย ๆ ปั่นจักรยานผ่านเส้นทางนั้น
แม้ว่า คำแนะนำพวกนี้อาจช่วยให้คุณรอดพ้นจากคมเขี้ยวของน้องหมาได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การตั้งสติให้ดี เพราะเป็นเพียงวิธีเดียวที่ช่วยให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้
Cr. Sanook
#รู้ไว้ใช่ว่า_ธรรมชาติ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว