รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, October 16th, 2025 at 9:29am
เครื่องดื่มระงับกลิ่นปาก ++

– น้ำเปล่า การดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยล้างและลดความเข้มข้นของแบคทีเรียในช่องปาก และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของน้ำลาย ซึ่งทั้งแบคทีเรียและการมีการไหลเวียนของน้ำลายน้อย เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก ​

– ​น้ำมะนาว ช่วยเพิ่มปริมาณของน้ำลาย เนื่องจากกรดซิตริกในน้ำมะนาวมีคุณสมบัติคล้ายกรดในน้ำลายซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและลดกลิ่นปากได้​

– ​น้ำส้ม น้ำฝรั่ง ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี เพราะมีทั้งวิตามินซี และมีกากใยที่จะช่วยลดแบคทีเรียทั้งในช่องปาก ช่วยลดอาการท้องผูกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก​

– ชาเขียว มีสารฟลาโวนอยด์ ที่มีฤทธิ์ช่วยลดแบคทีเรียและช่วยต่อต้านอาการอักเสบในช่องปากได้เป็นอย่างดี วิธีการการดื่มชาให้มีประสิทธิภาพในการช่วยลดกลิ่นปากได้ดีที่สุด คือการดื่มชาหลังมื้ออาหาร​


สาเหตุของกลิ่นปากเกิดขึ้นได้ทั้งจากปัญหาภายในและภายนอกช่องปาก ​ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เช่น ฟันผุ แผลในช่องปาก โรคเหงือกอักเสบ หรืออาการภูมิแพ้ ​ การทำความสะอาดเครื่องมือจัดฟันหรือฟันปลอมได้ไม่ดีพอ ก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่นกัน ​ ส่วนสาเหตุภายนอกช่องปากนั้น เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง และยังมีอีกหลายโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่นโรคไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน เป็นต้น​

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการมีกลิ่นปาก ​และควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพฟันและช่องปาก ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันและวินิจฉัยปัญหาที่อาจก่อให้เกิดกลิ่นปากได้​

Cr. BDMS Wellness Clinic

#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, October 15th, 2025 at 8:45am
รวม 4 วิธีแก้ สะอึก++

1. ดื่มน้ำ โดยก้มตัวดื่มจากปากแก้วฝั่งตรงข้าม (ตามรูป)
2. ตักน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะใส่ปาก และกลืนให้หมดโดยไม่ใช้นำ้.
3. ทำให้ตกใจ เช่น ตะโกนใส่หู หรือตบหลังแรงๆ ทันที โดยไม่ให้รู้ตัวก่อน.
4. เอาถุงกระดาษใบใหญ่ๆ ครอบปากและจมูก ให้หายใจในถุง 10-20 นาที หรือจนกว่าจะหายสะอึก.

Cr. หมอชาวบ้าน

#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าFriday, October 10th, 2025 at 2:38pm
6 โรคที่ควรระวัง ในช่วงฤดูหนาว++

ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็น มีลมหนาวพัดเข้ามา บ่งบอกได้ว่ากำลังเข้าสู่ฤดูหนาว หลายๆคนอาจชอบเพราะทำให้รู้สึกว่าเย็นสบาย แต่รู้หรือไม่สภาพอากาศเช่นนี้จะทำให้ร่างกายป่วยได้ง่ายกว่าปกติ

เนื่องจากในช่วงอากาศที่เย็นเป็นเวลาที่เอื้อต่อการอยู่รอดและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอาการป่วยหรือสุขภาพไม่แข็งแรง จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก 6 โรคที่มากับหน้าหนาว เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคต่างๆ และป้องกันการเจ็บป่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงแต่เนิ่นๆ มาดูกันว่าโรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาวที่ควรระวังมีอะไรกันบ้าง

1. โรคไข้หวัด
ไข้หวัดธรรมดาจะมีอาการคล้ายๆไข้หวัดใหญ่ แต่ข้อแตกต่างคือไข้หวัดธรรมดาจะมีอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม คันคอ ไม่ค่อยมีอาการไข้ และปวดกล้ามเนื้อ

วิธีรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัด เนื่องจากมีเชื้อไวรัสหลายชนิด และส่วนใหญ่มักจะหายเอง หากเป็นไข้หวัดควรพักผ่อนให้มากๆ ดื่มน้ำให้บ่อย เช็ดตัวบ่อยๆเพื่อระบายความร้อนในร่างกาย และรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ไอ และยาลดน้ำมูก หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ เพื่อเช็คอาการ

วิธีดูแลตัวเอง
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัดได้ ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ

2. โรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อต้นเหตุเป็นไวรัสที่เรียกว่า อินฟลูเอ็นซาไวรัส (Influenza virus) หรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิดคือ Influenza A และ B หากเป็นจะมีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นสูง เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและศีรษะอย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนร่วมด้วย

วิธีการรักษา
ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย เช็ดตัวบ่อยๆ รับประทานยาตามอาการ หากรับประทานยาลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที

วิธีดูแลตัวเอง
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยผู้ที่ควรรับวัคซีนได้แก่ เด็กเล็ก คนชรา แพทย์ และพยาบาล โดยต้องเข้ารับการฉีดทุกปี เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุใหม่และร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่

3. โรคปอดบวม
เกิดจากภาวะปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไว้รัส ทำให้มีหนองและสารน้ำในถุงลม จนเนื้อบริเวณปอดนั้นไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการไอ คัดจมูก จาม และมีเสมหะมาก มีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน หนาวสั่น แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด มักจะพบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ และเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 – 10 ปี

วิธีการรักษา
หากรู้สึกว่ามีอาการคล้ายเป็นปอดบวม ควรรีบพบแพทย์ทันที หากแพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการปอดบวมจะได้รับยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และยาขยายหลอดลม

วิธีดูแลตัวเอง
รีบรับการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก สำหรับเด็กเล็กควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวม

4. โรคหัด
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อรูบีโอลาไวรัส มักระบาดช่วงปลายฤดูหนาวต่อกับฤดูร้อน มักพบในเด็กตั้งแต่อายุ 2 – 12 ขวบ ติดต่อกันได้ง่าย จากการไอ จาม รดกันโดยตรง หรือหายใจเอาละองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป อาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาคือ น้ำมูกไหล ไอแห้ง ตาและจมูกแดง มีไข้สูง หากมีไข้ติดต่อกัน 3-4 วัน จะมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย และยังมีตุ่มใสๆ ขึ้นในปาก กระพุ้งแก้ม และฟันกรามบน ซึ่งตุ่มเกิดขึ้นเฉพาะโรคหัดเท่านั้น พอผื่นออกได้ประมาณ 1 – 2 วัน เด็กจะมีอาการดีขึ้น

วิธีการรักษา
ยังไม่มียารักษาโดยตรง มีเพียงการรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หายใจสั้น เจ็บหน้าอกขณะหายใจ ชัก ควรรีบพบแพทย์ทันที

วิธีดูแลตัวเอง
ฉีดวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมันและคางทูม จะช่วยป้องกันโรคหัดได้ โดยจะเริ่มฉีดตอนอายุ 9-12 เดือน และฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 6 ขวบ

5. อุจจาระร่วง
เป็นอีกโรคที่มากับฤดูหนาวที่ควรระวัง ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ที่ระบาดมากสุดช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก ผ่านกระเพาะอาหารแล้วแบ่งตัวที่ลำไส้ พบบ่อยในเด็กอายุ 6-12 เดือน เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ อาการของโรคจะมีไข้ ท้องเสียรุนแรงและอาเจียนอย่างหนัก บางรายเสียน้ำมากจนช็อกหรือเสียชีวิต

วิธีการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยตรง จึงต้องรักษาตามอาการให้ดีขึ้น โดยควรจิบเกลือแร่บ่อยๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ หากผู้ป่วยไม่สามารถดื่มน้ำได้ จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดแทน

วิธีดูแลตัวเอง
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรต้าไวรัส เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน สามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน วัคซีนจะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และลดความรุนแรงลงได้

6. โรคไข้สุกใส
มักระบาดช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อไวรัสวาริเซลลา ติดต่อผ่านทางการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง สัมผัสของใช้ มีระยะฟักตัวในร่างกาย 10 – 20 วัน พบมากในเด็กอายุ 5 – 15 ปี โดยเกิดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน

วิธีการรักษา
ต้องรักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น ไม่ควรแคะ แกะ เกา บริเวณตุ่ม เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ และเป็นแผลเป็นได้ ส่วนมากผู้ป่วยโรคนี้ไม่ต้องพบแพทย์ เพราะอาการไม่รุนแรง ไม่มีมีโรคแทรกซ้อน

วิธีดูแลตัวเอง
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใส โดยฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็น ก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันได้เช่นกัน

Cr. รพ บางปะกอกสมุทรปราการ
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, October 9th, 2025 at 12:12pm
8 Check list ที่ควรทำหลังน้ำท่วม ++

1.ตรวจระบบไฟ
ก่อนการใช้งานต้องรอให้แห้งสนิทก่อน เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

2.สำรวจความเสียหาย
สำรวจความเสียหายตัวโครงสร้างของบ้าน และบริเวณโดยรอบ

3.เตรียมก่อนล้าง
เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด และอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง รองเท้ายาง ฯลฯ

4.ดูแล ปรับปรุง ห้องครัว
ขัดล้างห้องครัวและทำความสะอาดเครื่องครัว กำจัดเชื้อรา

5.ลงมือล้างทำความสะอาด
ควรลงมือทันทีหลังน้ำลดจะช่วยให้ขจัดคราบสกปรกได้ง่าย

6.ดูแล ปรับปรุง ห้องส้วม
ในกรณีที่ส้วมเต็ม หรืออุดต้น
ให้ใช้น้ำหมักชีวภาพเทราด
ลงในคอห่าน หรือโถส้วม

7.ทำความสะอาดสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ควรซักให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง ก่อนนำมาใช้

8.คิดแยกขยะ (รีไซเคิลทั่วไป) ก่อนทิ้ง คัดแยกขยะประเภทที่ยังใช้ประโยชน์ได้ เช่น โลหะ กระป๋อง เพื่อนำไปจำหน่ายให้ร้านรับซื้อของเก่า

Cr. กระทรวงสาธารณสุข

#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, October 8th, 2025 at 8:02am
อาหารก่อมะเร็ง ภัยร้ายในความอร่อย++

จากสถิติของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งโลกพบว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักขาดความเข้าใจและไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายของสารก่อ มะเร็งที่อาจปนเปื้อนมาในอาหาร Better Health จึงรวบรวมประเภทของอาหารที่อาจก่อความเสี่ยงต่อการ เกิดมะเร็งมาไว้ ดังนี้


1. อาหารที่ปรุงด้วยความร้อนสูง
สารก่อมะเร็งที่พบในอาหารประเภทปิ้ง ย่าง และรมควันนั้น มีชื่อว่าสารพีเอเอช (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon – PAH) ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของไขมันในเนื้อสัตว์ ที่หยดลงไปโดนถ่านไฟ จนทำให้เกิดเป็นควันที่มีพิษเป็นสารก่อมะเร็งและลอยกลับขึ้นมาจับที่เนื้อสัตว์บนเตา หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมากก็จะเกิดการสะสมในร่างกาย จนเป็น สาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารได้

ทั้งนี้ ควรนำเนื้อสัตว์มาหั่นส่วนที่เป็นไขมันออกเสียก่อน
จากนั้น จึงนำไปต้มหรืออบให้สุกพอประมาณ แล้วจึงนำไปปิ้งหรือย่าง
โดยนำกระดาษฟอยล์มารองหรือห่อหุ้มเนื้อเอาไว้ เพื่อช่วยลดปริมาณไขมันที่อาจหยดลงไปในเตา พร้อมกับใช้ไฟเพียงอ่อน ๆ หรือเลือกใช้เตาไฟฟ้าไร้ควันซึ่งจะควบคุมระดับความร้อนได้ดีกว่าการใช้เตาถ่าน
จากนั้นก็ควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมออกก่อนนำมารับประทาน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้

นอกจากนี้ สำนักงานอาหารแห่งประเทศสวีเดนยังทำการวิจัยพบว่า อาหารที่ถูกทอดหรืออบด้วยความร้อนสูง เช่น มันฝรั่งทอด ขนมปังกรอบและบิสกิตนั้นมีสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งประกอบอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทอดในน้ำมันที่ถูกใช้ปรุงอาหารเกินสองครั้งนั้นพบว่า มีสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันที่เสื่อมสภาพ ซึ่งหากบริโภคติดต่อกันก็อาจเข้าไปสะสมในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ขณะที่ผู้ปรุงอาหารซึ่งสูดดมไอของน้ำมันเข้าไปก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นเช่นกัน

2. อาหารไขมันสูง
ไขมันที่พบมากในสัตว์เนื้อสีแดง เช่น เนื้อวัว หรือเนื้อหมูนั้นเป็นไขมันอิ่มตัว ที่ยังพบมากในไข่แดง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส และโยเกิร์ต เป็นต้น รวมถึงน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันแปรรูป เช่น มาการีน เนยขาว ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายผลิตคลอเรสเตอรอลมากขึ้น จนเป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือดตีบแล้ว ไขมันประเภทนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงต่อการก่อตัวของมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่ออาหารประเภทนี้ถูกนำไปปรุงในอุณหภูมิที่ร้อนจัดก็จะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่าเอชซีเอ (Heterocyclic Amine – HCA)

3. อาหารแปรรูป และอาหารปรุงแต่ง
โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเค็ม กุนเชียง ไส้กรอก เบคอน มักจะมี “ดินประสิว” ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า “โปตัสเซียมไนเตรต” เป็นส่วนประกอบในอาหาร เพราะสารดังกล่าวนี้จะช่วยคงสภาพให้เนื้อสัตว์มีสีแดงดูน่ารับประทานได้นานกว่าปกติ และมีคุณสมบัติเป็นสารกันบูดเช่นเดียวกับสารกันบูดประเภทไนไตรต์ และโซเดียมไนเตรต ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่มักเกิดในอาหารที่ได้รับการบรรจุอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น อาหารกระป๋อง

แม้จะมีประโยชน์ในการช่วยถนอมอาหาร แต่สารเหล่านี้ก็จัดเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารที่มีสารกันบูดเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในกรณีอาหารที่ได้รับการใส่สารกันบูดในปริมาณเกินกำหนดด้วยนั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากขึ้นตามไปด้วย

4. อาหารปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตราย
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ได้รับการแต่งสี กลิ่น รส ที่อาจเป็นอันตราย เช่น การใช้สีที่ไม่ใช่สีผสมอาหาร อย่างสีย้อมผ้า หรือแม้กระทั่งการใช้สีผสมอาหารในปริมาณที่มากเกินไป รวมถึงอาหารที่อาจปนเปื้อนสารฆ่าแมลงและสารเคมีแปลกปลอมอื่น ๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากลักษณะของอาหารที่ผิดจากธรรมชาติไปมาก เช่น มีสีฉูดฉาดจัดจ้านผิดปกติ หรือพืชผักผลไม้ที่ไม่มีร่องรอยการกัดกินจากแมลงเลย เป็นต้น

5. อาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง
แม้ว่าสารโซเดียมคลอไรด์ หรือที่เรารู้จักกันดีในรูปแบบของเกลือที่นิยมนำมาประกอบอาหารนั้นจะให้ไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคคอพอก ได้ก็ตาม แต่การบริโภคอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูงเกินไป ซึ่งรวมถึงอาหารหมักดองด้วยเกลือ และอาหารที่ใส่ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารได้ เพราะเมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ก็จะส่งผลให้ปริมาณเกลือโพแทสเซียมลดลง ซึ่งจะทำให้ ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงตามไปด้วย

6. อาหารที่มีเชื้อรา
เชื้อราที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุดคือ เชื้อราที่ผลิตสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในอาหารที่เป็นผลผลิตทางการเกษตร เช่น เมล็ดธัญพืช อย่างถั่ว หรือข้าวโพด รวมถึงพริกแห้ง หอม กระเทียม และอาหารจำพวกนมและขนมปัง ที่ถูกเก็บไว้นานจนเกินไป โดยเฉพาะในที่ที่อากาศร้อนและมีความชื้นสูง หากรับประทานเข้าไปจะก่อให้เกิดการสะสมของสารอะฟลาท็อกซินที่ตับ และอาจพัฒนาเป็นมะเร็งตับในที่สุด

7. เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
สารเอทานอล ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เมื่อถูกย่อยสลายในร่างกายแล้ว จะกลายเป็นสารที่มีชื่อว่า อะเซทแอลดีไฮด์ ซึ่งมีผลทำให้เซลล์ในร่างกายอ่อนแอลง สำหรับผู้สูบบุหรี่เป็นประจำก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งตับ และมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้นตามไปด้วย

นอกจากหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งแล้ว ก็ควรที่จะดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้เกิดความสมดุลในแบบองค์รวม ควบคู่กันไปด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินเอและวิตามินอีสูง หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง และให้ความสำคัญกับตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้คำว่า “มะเร็ง” ก็จะห่างไกลจากชีวิตคุณแน่นอน

Cr. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่า
รู้ไว้ใช่ว่าTuesday, October 7th, 2025 at 9:35am
เข้าใจเรื่อง สะดุ้ง ตื่น กลางดึก แล้ว นอน ไม่ หลับ ++

อาการ “สะดุ้งตื่น” หรือที่เรียกว่า Hypnic Jerk คืออาการกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วในขณะที่ร่างกายกำลังจะเข้าสู่ภาวะหลับลึก ซึ่งมักเกี่ยวกับกล้ามเนื้อบริเวณแขนและขา ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังตกลงมาจากที่สูง

ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยบางราย อาการสะดุ้งตื่นกลางดึก อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหลังจากเกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ มีเหงื่อออก เป็นต้น

สะดุ้งตื่นกลางดึก มีสาเหตุมาจากอะไร ?

– ความเครียดและวิตกกังวล
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียดฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพการนอนหลับ นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการนอนหลับเองสามารถทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน เนื่องจากสมองจะยังคงทำงานอยู่แม้จะอยู่ในเวลานอน เป็นต้น

– ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
เช่น เป็นผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการสะดุ้งตื่นกลางดึก และทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้

– สะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิต
เช่น การดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป การออกกำลังกายหนักก่อนนอน หรือการเล่นโทรศัพท์ในช่วงกลางคืน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการกระตุ้นระบบประสาท และทำให้เกิดการรบกวนขณะนอนหลับ

– สภาพแวดล้อมในการนอน
หากมีสภาพแวดล้อมการนอนที่ไม่เหมาะสม เช่น ห้องนอนไม่มืดสนิท มีเสียงรบกวน หรืออุณหภูมิไม่เหมาะสม สามารถทำให้เกิดความไม่สบายตัว และส่งผลให้เกิดอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกได้ ซึ่งการเลือกหมอนพร้อมกับจัดสภาพแวดล้อมการนอนให้เหมาะสมมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

อาการสะดุ้งตื่นกลางดึกอันตรายไหม ?
การสะดุ้งตื่นกลางดึก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญได้ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง ถึงแม้จะมีการปรับพฤติกรรมการนอนหลับแล้วและอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการ “ตรวจการนอนหลับ” (Sleep Test) ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถสังเกตการทำงานของร่างกายขณะนอนหลับ และวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้

ใครบ้างที่ควรทำ Sleep Test

การตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เป็นการตรวจเพื่อสังเกตการทำงานของร่างกายของเราขณะนอนหลับ ซึ่งผลการตรวจ สามารถช่วยให้แพทย์ทำการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ และประเมินระดับความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพอย่างถี่ถ้วน เช่น

– นอนกรนเสียงดังผิดปกติ
– รู้สึกง่วงตอนกลางวันมากผิดปกติ ทั้งที่ได้นอนอย่างเพียงพอ
– สะดุ้งตื่นกลางดึกและสงสัยมีการหยุดหายใจขณะหลับ
– มีคนสังเกตว่ามีพฤติกรรมผิดปกติขณะนอนหลับ เช่น นอนขากระตุก กัดฟัน ละเมอ เป็นต้น

เราสามารถแก้ไขปัญหา อาการสะดุ้งตื่นกลางดึก ได้อย่างไร ?

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกหรือพึ่งเริ่มมีอาการ สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้

– จัดการความเครียด ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึก ๆ สามารถช่วยลดระดับความเครียดและความวิตกกังวลได้ดี
– ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์, กำหนดเวลานอนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
– ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการนอน เพราะการสร้างบรรยากาศการนอนที่เหมาะสม มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี โดยควรปรับแต่งห้องนอนให้มีความมืดสนิทในตอนกลางคืน ไม่มีเสียงรบกวน และปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เหมาะสมอย่างน้อย 17-25 องศาเซลเซียส
– รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ระหว่างวัน เช่น ผัก ผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์หรือสารเติมแต่งต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนเมลาโทนิน ทั้งนี้ การดื่มนมอุ่น ๆ การใช้สมุนไพรและอาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในการนอนหลับ จะช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการ สะดุ้งตื่นกลางดึก
Q: สะดุ้งตื่นกลางดึก ทุกคืนควรพบแพทย์ไหม ?
A: ควรพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยอาการ และหาสาเหตุของการสะดุ้ง เพราะโดยปกติแล้วโรคนี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ซึ่งหากเกิดอาการบ่อย อาจมีสาเหตุจากปัญหาสุขภาพบางอย่างได้ เช่น ความผิดปกติของระบบประสาทบางส่วน เป็นต้น

Q: สะดุ้งตื่นกลางดึกควรนอนต่อไหม ?
A: หากยังรู้สึกง่วง สามารถกลับไปนอนต่อได้ตามปกติ แต่หากรู้สึกนอนไม่หลับ สามารถลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงสบาย ๆ เป็นต้น ที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ข่มตานอน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

สรุป
การสะดุ้งตื่นกลางดึกเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสร้างสภาพแวดล้อมในการนอนที่เหมาะสม หากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและลดอาการสะดุ้งตื่นกลางดึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Cr. ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว