รู้ไว้ใช่ว่าThursday, March 13th, 2025 at 4:04pm
15 อาการของโรคขาดสารอาหาร !!
1. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
2. ผมร่วง
3. ตัวซีด
4. ง่วง อ่อนเพลีย
5. เวียนศีรษะ
6. มีความอยากอาหารที่ผิดปกติ
7. มีปัญหาในการย่อยอาหาร ซึ่งอาจทำให้ท้องผูก
8. ประจำเดือนมาไม่ปกติ
9. รู้สึกเสียวหรือชาที่ข้อต่อ
10. ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย
11. หดหู่ ซึมเศร้า
12. มีปัญหาด้านการหายใจ
13. ใจสั่น
14. เป็นลมหมดสติ
15. ผู้ป่วยเด็กอาจเจริญเติบโตช้า หรือมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
สาเหตุของโรคขาดสารอาหาร
– ปัญหาทางจิตใจ อาจส่งผลต่ออารมณ์และทำให้ความอยากอาหารลดลง
– อาการป่วยที่อาจทำให้ความอยากอาหารลดลง เช่น อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
– โรคหรือภาวะที่ส่งผลต่อการดูดซึมและการย่อยอาหารของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดธาตุบางชนิด เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคเซลิแอค ภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล โรคโครห์น หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดมีแผล เป็นต้น
– การใช้ยาบางชนิด ซึ่งอาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน เป็นต้น จึงทำให้ผู้ป่วยมีความอยากอาหารลดลง หรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
วิธีที่ดีที่สุดที่สามารถช่วยป้องกันภาวะขาดสารอาหารได้ คือ การรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วนและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ โดยเน้นอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงอย่างผัก ผลไม้ หรือธัญพืชไม่ขัดสี และรับประทานอาหารจำพวกแป้งให้เพียงพอ เช่น ข้าว ขนมปัง มันฝรั่ง เป็นต้น รวมถึงเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม
Cr. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
1. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
2. ผมร่วง
3. ตัวซีด
4. ง่วง อ่อนเพลีย
5. เวียนศีรษะ
6. มีความอยากอาหารที่ผิดปกติ
7. มีปัญหาในการย่อยอาหาร ซึ่งอาจทำให้ท้องผูก
8. ประจำเดือนมาไม่ปกติ
9. รู้สึกเสียวหรือชาที่ข้อต่อ
10. ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย
11. หดหู่ ซึมเศร้า
12. มีปัญหาด้านการหายใจ
13. ใจสั่น
14. เป็นลมหมดสติ
15. ผู้ป่วยเด็กอาจเจริญเติบโตช้า หรือมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
สาเหตุของโรคขาดสารอาหาร
– ปัญหาทางจิตใจ อาจส่งผลต่ออารมณ์และทำให้ความอยากอาหารลดลง
– อาการป่วยที่อาจทำให้ความอยากอาหารลดลง เช่น อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
– โรคหรือภาวะที่ส่งผลต่อการดูดซึมและการย่อยอาหารของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดธาตุบางชนิด เช่น โรคมะเร็งลำไส้ โรคเซลิแอค ภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล โรคโครห์น หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดมีแผล เป็นต้น
– การใช้ยาบางชนิด ซึ่งอาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน เป็นต้น จึงทำให้ผู้ป่วยมีความอยากอาหารลดลง หรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
วิธีที่ดีที่สุดที่สามารถช่วยป้องกันภาวะขาดสารอาหารได้ คือ การรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วนและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ โดยเน้นอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงอย่างผัก ผลไม้ หรือธัญพืชไม่ขัดสี และรับประทานอาหารจำพวกแป้งให้เพียงพอ เช่น ข้าว ขนมปัง มันฝรั่ง เป็นต้น รวมถึงเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม
Cr. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าWednesday, March 12th, 2025 at 3:39pm
การขาดน้ำ…อันตรายกว่าที่คิด!!
กิจวัตรง่ายๆ ที่เราลืมกันไปเลย ในภาวะร่างกายที่ปกติแข็งแรง เราก็จะใช้พลังงานจากร่างกายอย่างเต็มที่ จนบางเราก็ความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ทันสังเกตว่าร่างกายส่งสัญญาณเรียกร้องออกมา ทำให้เราละเลยมันไป นานวันเข้า เมื่อเราหลงลืมไม่ใส่ใจดูแลร่างกายบ่อยๆ ก็อาจเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงได้ วันนี้เรามาสังเกตสัญญาณบอกเหตุว่าร่างกายของเราขาดน้ำแล้วกันเถอะค่ะ
สาเหตุที่ร่างกายขาดน้ำ
แต่ก่อนที่จะสังเกตอาการเรามารู้กันก่อนว่า สาเหตุง่ายๆ ที่ร่างกายขาดน้ำก็คือ การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ที่เกิดจากการเสียเหงื่อหลังออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการสูญเสียน้ำในร่างกาย มากกว่าปกติในหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงมากจนทำให้เป็นโรคลมแดด หน้ามืด วิงเวียนศรีษะ และเป็นลมได้
อาการที่ควรสังเกต
– กระหายน้ำ
– อ่อนเพลีย / เหนื่อยง่าย
– ปวดศรีษะ / วิงเวียนศรีษะ
– ปัสสาวะน้อย 4-6 ชั่วโมง / 1 ครั้ง
– ชีพจรเต้นเร็ว หายใจ หอบถี่
– ความดันโลหิตต่ำ บางรายอาการรุนแรง จนเกิดอาการชักได้
ดูแลตัวอย่างไร เมื่อร่างกายขาดน้ำ
– ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 4-8 แก้ว ต่อวัน (แก้วน้ำขนาด 200มล.)
– ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากอาการท้องเสีย นอกจากดื่มน้ำแล้ว ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อลดอาการอ่อนเพลีย จากการสูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย
– หลีกเลี่ยงสถานที่อบอ้าว ควรหาจุดที่อากาศถ่ายเท ร่มรื่น เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย
Cr. โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
กิจวัตรง่ายๆ ที่เราลืมกันไปเลย ในภาวะร่างกายที่ปกติแข็งแรง เราก็จะใช้พลังงานจากร่างกายอย่างเต็มที่ จนบางเราก็ความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ทันสังเกตว่าร่างกายส่งสัญญาณเรียกร้องออกมา ทำให้เราละเลยมันไป นานวันเข้า เมื่อเราหลงลืมไม่ใส่ใจดูแลร่างกายบ่อยๆ ก็อาจเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงได้ วันนี้เรามาสังเกตสัญญาณบอกเหตุว่าร่างกายของเราขาดน้ำแล้วกันเถอะค่ะ
สาเหตุที่ร่างกายขาดน้ำ
แต่ก่อนที่จะสังเกตอาการเรามารู้กันก่อนว่า สาเหตุง่ายๆ ที่ร่างกายขาดน้ำก็คือ การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ที่เกิดจากการเสียเหงื่อหลังออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการสูญเสียน้ำในร่างกาย มากกว่าปกติในหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงมากจนทำให้เป็นโรคลมแดด หน้ามืด วิงเวียนศรีษะ และเป็นลมได้
อาการที่ควรสังเกต
– กระหายน้ำ
– อ่อนเพลีย / เหนื่อยง่าย
– ปวดศรีษะ / วิงเวียนศรีษะ
– ปัสสาวะน้อย 4-6 ชั่วโมง / 1 ครั้ง
– ชีพจรเต้นเร็ว หายใจ หอบถี่
– ความดันโลหิตต่ำ บางรายอาการรุนแรง จนเกิดอาการชักได้
ดูแลตัวอย่างไร เมื่อร่างกายขาดน้ำ
– ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 4-8 แก้ว ต่อวัน (แก้วน้ำขนาด 200มล.)
– ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากอาการท้องเสีย นอกจากดื่มน้ำแล้ว ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อลดอาการอ่อนเพลีย จากการสูญเสียน้ำในร่างกายไปด้วย
– หลีกเลี่ยงสถานที่อบอ้าว ควรหาจุดที่อากาศถ่ายเท ร่มรื่น เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย
Cr. โรงพยาบาลเปาโล รังสิต
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าTuesday, March 11th, 2025 at 4:50pm
13 วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้ มีอะไรบ้าง?
เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมาอย่าเพิ่งตื่นตระหนก! วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก 13 วิธีเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้เพื่อให้คุณหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยที่สุด
1. ตั้งสติให้ดี
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้การตั้งสติให้ดีเป็นอย่างแรกที่ควรทำที่สุด เพราะอาการตกใจและตื่นตระหนกจะยิ่งทำให้ตัวคุณเป็นอันตรายและอาจอพยพหนีไฟได้ไม่ทันการณ์ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มตั้งสติเพื่อมองหาทางออก
2. กดสัญญาณเตือนภัย
หากอยู่ในอาคารที่มีสัญญาณเตือนภัย ควรกดทันทีเพื่อแจ้งเตือนผู้อื่นว่ามีเหตุไฟไหม้เกิดขึ้น เพราะนี่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวและอพยพได้ทันท่วงที
3. โทรศัพท์แจ้ง 199
หลังจากกดสัญญาณเตือนภัยแล้ว ควรโทรศัพท์แจ้งหน่วยงานดับเพลิงที่เบอร์ 199 โดยระบุสถานที่เกิดเหตุให้ชัดเจนที่สุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
4. หาผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูก
ควันไฟสามารถทำให้คุณสำลักและหมดสติได้ การหาผ้าชุบน้ำมาปิดปากและจมูกจะช่วยกรองควันไฟและสารพิษออกไปได้บางส่วน ทำให้คุณหายใจได้สะดวกขึ้นและเอาตัวรอดจากไฟไหม้ได้อย่างปลอดภัย
5. มองหาป้ายทางหนีไฟ เพื่อไปบันไดหนีไฟที่ใกล้ที่สุด
ป้ายทางหนีไฟจะชี้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการอพยพหนีไฟออกจากตัวอาคาร ควรมองหาป้ายนี้และเดินทางไปยังบันไดหนีไฟที่ใกล้ที่สุด อย่าลืมใช้ความระมัดระวังในการเดินทางไม่ควรดันกันเพื่อป้องกันการล้มหรือได้รับบาดเจ็บ
6. หลีกเลี่ยงการวิ่งหนีเข้าห้องหรือจุดอับ
อย่าวิ่งเข้าห้องหรือพื้นที่ที่ไม่มีทางออกเด็ดขาด เช่น ห้องน้ำ ห้องเก็บของ เพราะจะทำให้คุณติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากต่อการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยเช่นทางหนีไฟ
7. อย่าเปิดประตูทันที
สำคัญมากหากคุณต้องการเอาตัวรอดจากไฟไหม้ ก่อนเปิดประตูควรตรวจสอบว่ามีความร้อนหรือควันออกมาจากประตูหรือไม่ โดยใช้หลังมือสัมผัสหากพบว่าร้อนมาก แสดงว่าไฟอยู่ใกล้ประตูไม่ควรเปิดประตูเพราะจะทำให้ไฟลามเข้ามาได้
8. เคลื่อนย้ายด้วยวิธีหมอบคลานต่ำหรือย่อตัวให้ได้มากที่สุด
เมื่อเกิดไฟไหม้ควันและความร้อนจะลอยตัวสูง ดังนั้นควรหมอบคลานต่ำเพื่อให้หายใจได้ดีขึ้นและป้องกันการสูดควันมากเกินไปจนสำลักควันหรือเป็นลมจากการสัมผัสควันได้
9. ห้ามใช้ลิฟต์อย่างเด็ดขาด
ลิฟต์คือสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ เพราะคุณอาจติดอยู่ระหว่างชั้นได้อีกทั้งควันไฟอาจลอยเข้ามาในลิฟต์ เพื่อการอพยพหนีไฟที่ปลอดภัยที่สุดควรใช้บันไดหนีไฟแทน
10. หากไฟไม่แรงมากให้ใช้ถังดับเพลิงดับไฟ
ถ้าไฟยังไม่ลุกลามมากควรใช้ถังดับเพลิงที่อยู่ใกล้เคียง แต่ต้องแน่ใจว่าคุณรู้วิธีใช้งานและมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมไฟได้ อย่าเสี่ยงหากไม่มั่นใจเด็ดขาดเพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองได้
11. หากไฟไหม้เสื้อผ้าให้กลิ้งตัวกับพื้น
หากไฟติดเสื้อผ้าอย่าตื่นตระหนกและวิ่ง ให้หยุดและกลิ้งตัวไปกับพื้นเพื่อดับไฟ การกลิ้งจะช่วยลดออกซิเจนที่เป็นเชื้อเพลิงไฟทำให้ไฟดับได้เร็วขึ้น
12. หลีกเลี่ยงทางออกที่มีผู้คนแออัด
หลีกเลี่ยงทางออกที่มีผู้คนแออัด เพราะทางออกที่มีคนแออัดอาจเกิดความวุ่นวายและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ควรมองหาทางออกที่มีผู้คนน้อยกว่าและปลอดภัยกว่า
13. หากติดอยู่ในห้อง ให้หาผ้าชุบน้ำอุดขอบประตู หน้าต่าง
ถ้าติดอยู่ในห้องที่ไม่สามารถออกไปได้ ให้หาผ้าชุบน้ำและอุดตามขอบประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันควันไฟเข้ามาในห้อง และหาวิธีสื่อสารขอความช่วยเหลือจากภายนอก เช่น ใช้ไฟฉายหรือเคาะประตูอย่างต่อเนื่อง โทรหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ
Cr. บริษัท อีสออน อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมาอย่าเพิ่งตื่นตระหนก! วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก 13 วิธีเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้เพื่อให้คุณหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยที่สุด
1. ตั้งสติให้ดี
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้การตั้งสติให้ดีเป็นอย่างแรกที่ควรทำที่สุด เพราะอาการตกใจและตื่นตระหนกจะยิ่งทำให้ตัวคุณเป็นอันตรายและอาจอพยพหนีไฟได้ไม่ทันการณ์ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มตั้งสติเพื่อมองหาทางออก
2. กดสัญญาณเตือนภัย
หากอยู่ในอาคารที่มีสัญญาณเตือนภัย ควรกดทันทีเพื่อแจ้งเตือนผู้อื่นว่ามีเหตุไฟไหม้เกิดขึ้น เพราะนี่ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวและอพยพได้ทันท่วงที
3. โทรศัพท์แจ้ง 199
หลังจากกดสัญญาณเตือนภัยแล้ว ควรโทรศัพท์แจ้งหน่วยงานดับเพลิงที่เบอร์ 199 โดยระบุสถานที่เกิดเหตุให้ชัดเจนที่สุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
4. หาผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูก
ควันไฟสามารถทำให้คุณสำลักและหมดสติได้ การหาผ้าชุบน้ำมาปิดปากและจมูกจะช่วยกรองควันไฟและสารพิษออกไปได้บางส่วน ทำให้คุณหายใจได้สะดวกขึ้นและเอาตัวรอดจากไฟไหม้ได้อย่างปลอดภัย
5. มองหาป้ายทางหนีไฟ เพื่อไปบันไดหนีไฟที่ใกล้ที่สุด
ป้ายทางหนีไฟจะชี้เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการอพยพหนีไฟออกจากตัวอาคาร ควรมองหาป้ายนี้และเดินทางไปยังบันไดหนีไฟที่ใกล้ที่สุด อย่าลืมใช้ความระมัดระวังในการเดินทางไม่ควรดันกันเพื่อป้องกันการล้มหรือได้รับบาดเจ็บ
6. หลีกเลี่ยงการวิ่งหนีเข้าห้องหรือจุดอับ
อย่าวิ่งเข้าห้องหรือพื้นที่ที่ไม่มีทางออกเด็ดขาด เช่น ห้องน้ำ ห้องเก็บของ เพราะจะทำให้คุณติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากต่อการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยเช่นทางหนีไฟ
7. อย่าเปิดประตูทันที
สำคัญมากหากคุณต้องการเอาตัวรอดจากไฟไหม้ ก่อนเปิดประตูควรตรวจสอบว่ามีความร้อนหรือควันออกมาจากประตูหรือไม่ โดยใช้หลังมือสัมผัสหากพบว่าร้อนมาก แสดงว่าไฟอยู่ใกล้ประตูไม่ควรเปิดประตูเพราะจะทำให้ไฟลามเข้ามาได้
8. เคลื่อนย้ายด้วยวิธีหมอบคลานต่ำหรือย่อตัวให้ได้มากที่สุด
เมื่อเกิดไฟไหม้ควันและความร้อนจะลอยตัวสูง ดังนั้นควรหมอบคลานต่ำเพื่อให้หายใจได้ดีขึ้นและป้องกันการสูดควันมากเกินไปจนสำลักควันหรือเป็นลมจากการสัมผัสควันได้
9. ห้ามใช้ลิฟต์อย่างเด็ดขาด
ลิฟต์คือสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ เพราะคุณอาจติดอยู่ระหว่างชั้นได้อีกทั้งควันไฟอาจลอยเข้ามาในลิฟต์ เพื่อการอพยพหนีไฟที่ปลอดภัยที่สุดควรใช้บันไดหนีไฟแทน
10. หากไฟไม่แรงมากให้ใช้ถังดับเพลิงดับไฟ
ถ้าไฟยังไม่ลุกลามมากควรใช้ถังดับเพลิงที่อยู่ใกล้เคียง แต่ต้องแน่ใจว่าคุณรู้วิธีใช้งานและมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมไฟได้ อย่าเสี่ยงหากไม่มั่นใจเด็ดขาดเพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองได้
11. หากไฟไหม้เสื้อผ้าให้กลิ้งตัวกับพื้น
หากไฟติดเสื้อผ้าอย่าตื่นตระหนกและวิ่ง ให้หยุดและกลิ้งตัวไปกับพื้นเพื่อดับไฟ การกลิ้งจะช่วยลดออกซิเจนที่เป็นเชื้อเพลิงไฟทำให้ไฟดับได้เร็วขึ้น
12. หลีกเลี่ยงทางออกที่มีผู้คนแออัด
หลีกเลี่ยงทางออกที่มีผู้คนแออัด เพราะทางออกที่มีคนแออัดอาจเกิดความวุ่นวายและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ควรมองหาทางออกที่มีผู้คนน้อยกว่าและปลอดภัยกว่า
13. หากติดอยู่ในห้อง ให้หาผ้าชุบน้ำอุดขอบประตู หน้าต่าง
ถ้าติดอยู่ในห้องที่ไม่สามารถออกไปได้ ให้หาผ้าชุบน้ำและอุดตามขอบประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันควันไฟเข้ามาในห้อง และหาวิธีสื่อสารขอความช่วยเหลือจากภายนอก เช่น ใช้ไฟฉายหรือเคาะประตูอย่างต่อเนื่อง โทรหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ
Cr. บริษัท อีสออน อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด
#รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าMonday, March 10th, 2025 at 5:09pm
ปรับวิธีรับประทานอาหารเย็นอย่างไรไม่ให้อ้วน ?
– ช่วงเวลาที่เหมาะสม รับประทานอาหารไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือ เป็นไปได้ ไม่ควรเกิน 18.00 – 19.00 น.
– หลีกอาหารไขมันสูง อาหารย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีคอเลสตอรอลสูง หรือของหวาน
– ให้หันมาเลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำ อาหารที่ย่อยง่าย ควรเน้นไปที่โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มีไขมันและแป้งบ้างเล็กน้อย
– ไม่แนะนำให้ทานผักหรือผลไม้ช่วงเย็น เพราะอาจทำให้ท้องอืดได้
– ก่อนรับประทานอาหารให้ทานน้ำ 3-4 แก้ว ช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง
Cr. โรงพยาบาลเวชธานี
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
– ช่วงเวลาที่เหมาะสม รับประทานอาหารไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือ เป็นไปได้ ไม่ควรเกิน 18.00 – 19.00 น.
– หลีกอาหารไขมันสูง อาหารย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีคอเลสตอรอลสูง หรือของหวาน
– ให้หันมาเลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำ อาหารที่ย่อยง่าย ควรเน้นไปที่โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ มีไขมันและแป้งบ้างเล็กน้อย
– ไม่แนะนำให้ทานผักหรือผลไม้ช่วงเย็น เพราะอาจทำให้ท้องอืดได้
– ก่อนรับประทานอาหารให้ทานน้ำ 3-4 แก้ว ช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง
Cr. โรงพยาบาลเวชธานี
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าSunday, March 9th, 2025 at 10:54am
เสียงนกร้องมีประโยชน์กว่าที่คิด ผลการศึกษาพบว่าช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวลของมนุษย์ได้ ++
เสียงนกร้องไม่ได้ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของกลุ่มผู้เข้าร่วมศึกษา แต่เสียงนกร้องเหล่านั้นช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความหวาดระแวง
ในทางกลับกัน เสียงจราจรไม่ว่าจะในระดับต่ำหรือสูง ทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง ยิ่งเป็นคลิปการจราจรที่วุ่นวายก็ยิ่งส่งผลต่อภาวะซึมเศร้ามากขึ้น
เสียงนกในยามเช้านอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบ ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เสียงเหล่านั้นยังช่วยบรรเทาอาการเครียด หวาดระแวง และวิตกกังวลของมนุษย์ได้ด้วย
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports ของ Nature เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2022 ซึ่งได้ตรวจสอบผลกระทบของการได้ยินเสียงของนกกับเสียงการจราจรต่างๆ
การศึกษาดังกล่าวได้ศึกษาผู้เข้าร่วม 295 คน โดยแบ่งให้ฟังเสียงทั้งหมด 4 สภาพแวดล้อม ได้แก่ เสียงจราจรระดับต่ำ, เสียงจราจรระดับสูง, เสียงนกระดับต่ำ และเสียงนกพร้อมกับสภาพแวดล้อมภายนอกระดับสูง ซึ่งฟังรอบละ 6 นาที พร้อมให้กรอกแบบสอบถามทั้งก่อนและหลังฟังเสียง
ผลการวิจัยพบว่า เสียงนกร้องไม่ได้ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของกลุ่มผู้เข้าร่วมศึกษา แต่เสียงนกร้องเหล่านั้นช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความหวาดระแวง
ในทางกลับกัน เสียงจราจรไม่ว่าจะในระดับต่ำหรือสูง ทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง ยิ่งเป็นคลิปการจราจรที่วุ่นวายก็ยิ่งส่งผลต่อภาวะซึมเศร้ามากขึ้น
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เสียงนกร้องส่งผลต่ออาการต่างๆ ของผู้เข้าร่วมศึกษานั้น นักวิชาการระบุว่า มันคือเครื่องมือบ่งชี้ที่ละเอียดอ่อนของสภาพแวดล้อม เสียงนกเหล่านั้นสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษย์จากความเครียด หรือสิ่งที่มนุษย์มองว่าเป็นภัยคุกคาม
ยิ่งในปัจจุบัน โลกของเราเริ่มเปลี่ยนเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว ตึก อาคาร บ้านเมืองก็เริ่มปกปิดพื้นที่ธรรมชาติ เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงจราจรที่ทำให้ใครหลายคนหงุดหงิดใจ และสิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้มนุษย์เริ่มโหยหาธรรมชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงต้องศึกษาต่อไป เพื่อต่อยอดการนำเสียงนกเหล่านั้นมาช่วยรักษาจิตใจของผู้คนในอนาคต
Cr. thestandard
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
เสียงนกร้องไม่ได้ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของกลุ่มผู้เข้าร่วมศึกษา แต่เสียงนกร้องเหล่านั้นช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความหวาดระแวง
ในทางกลับกัน เสียงจราจรไม่ว่าจะในระดับต่ำหรือสูง ทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง ยิ่งเป็นคลิปการจราจรที่วุ่นวายก็ยิ่งส่งผลต่อภาวะซึมเศร้ามากขึ้น
เสียงนกในยามเช้านอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบ ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เสียงเหล่านั้นยังช่วยบรรเทาอาการเครียด หวาดระแวง และวิตกกังวลของมนุษย์ได้ด้วย
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports ของ Nature เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2022 ซึ่งได้ตรวจสอบผลกระทบของการได้ยินเสียงของนกกับเสียงการจราจรต่างๆ
การศึกษาดังกล่าวได้ศึกษาผู้เข้าร่วม 295 คน โดยแบ่งให้ฟังเสียงทั้งหมด 4 สภาพแวดล้อม ได้แก่ เสียงจราจรระดับต่ำ, เสียงจราจรระดับสูง, เสียงนกระดับต่ำ และเสียงนกพร้อมกับสภาพแวดล้อมภายนอกระดับสูง ซึ่งฟังรอบละ 6 นาที พร้อมให้กรอกแบบสอบถามทั้งก่อนและหลังฟังเสียง
ผลการวิจัยพบว่า เสียงนกร้องไม่ได้ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของกลุ่มผู้เข้าร่วมศึกษา แต่เสียงนกร้องเหล่านั้นช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความหวาดระแวง
ในทางกลับกัน เสียงจราจรไม่ว่าจะในระดับต่ำหรือสูง ทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง ยิ่งเป็นคลิปการจราจรที่วุ่นวายก็ยิ่งส่งผลต่อภาวะซึมเศร้ามากขึ้น
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เสียงนกร้องส่งผลต่ออาการต่างๆ ของผู้เข้าร่วมศึกษานั้น นักวิชาการระบุว่า มันคือเครื่องมือบ่งชี้ที่ละเอียดอ่อนของสภาพแวดล้อม เสียงนกเหล่านั้นสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษย์จากความเครียด หรือสิ่งที่มนุษย์มองว่าเป็นภัยคุกคาม
ยิ่งในปัจจุบัน โลกของเราเริ่มเปลี่ยนเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว ตึก อาคาร บ้านเมืองก็เริ่มปกปิดพื้นที่ธรรมชาติ เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงจราจรที่ทำให้ใครหลายคนหงุดหงิดใจ และสิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้มนุษย์เริ่มโหยหาธรรมชาติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงต้องศึกษาต่อไป เพื่อต่อยอดการนำเสียงนกเหล่านั้นมาช่วยรักษาจิตใจของผู้คนในอนาคต
Cr. thestandard
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
รู้ไว้ใช่ว่าThursday, March 6th, 2025 at 4:43pm
สัญญาณฉุกเฉินโรคหลอดเลือดสมอง BE FAST !!
สัญญาณ BE FAST เป็นหลักปฏิบัติเพื่อรับมือกับโรคหลอดเลือดสมองฉุกเฉิน ประกอบไปด้วย การสังเกตอาการ 6 อย่าง ดังนี้
1. สูญเสียการทรงตัว (B-Balance)
การสูญเสียการทรงตัวมักเกิดขึ้นจากผลกระทบของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตันในตำแหน่งสมองที่เกี่ยวกับทักษะการทรงตัวและการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่าง ๆ คนที่มีอาการสูญเสียการทรงตัวสังเกตได้จาก การเดินเซ คล้ายกับว่าเดินสะดุดอะไรบางอย่างอยู่บ่อย ๆ นั่งหรือยืนไม่มั่นคง ลุกออกจากเก้าอี้หรือเตียงลำบาก ต้องพยายามจับราวหรือกำแพงตลอดเวลา
2. ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด (E-Eyes)
การมองเห็นของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาการที่พบบ่อยมักเป็นอาการตาพร่ามัวกะทันหัน แต่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองยังอาจมีอาการอื่น ๆ เกี่ยวกับดวงตาได้อีก เช่น
– มองเห็นภาพด้านข้างไม่ชัดในตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
– การมองเห็นลดลงหรือสูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน
– มองเห็นภาพซ้อน
– มองเห็นภาพบิดเบี้ยว
– มองเห็นภาพมืดหรือสว่างขึ้นอย่างเฉียบพลัน
3. ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว (F-Face)
ในหน้าเบี้ยวปากเบี้ยวเป็นอาการโรคหลอดเลือดสมองที่ชัดเจนมากอาการหนึ่ง เพราะมักเกิดขึ้นทันทีหลังเกิดเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน อาการนี้เกิดจากผลกระทบที่สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งทำงานได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้มุมปากตก ปากเบี้ยว ยิ้มไม่เท่ากัน ยักคิ้วไม่เท่ากันทั้งสองข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งยักคิ้วไม่ขึ้น หนังตาปิดได้ไม่สนิท น้ำลายไหลออกจากมุมปาก เป็นต้น
4. แขนขาอ่อนแรง (A-Arms)
อาการนี้มักมีสาเหตุเดียวกันกับอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แต่ปัญหาในการควบคุม กล้ามเนื้อจะเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดที่แขนหรือขา หากรู้สึกถึงอาการอ่อนแรงผิดปกติลองทดสอบด้วยการยกแขนทั้งสองข้างพร้อมกัน หากมีแขนใดข้างหนึ่งค่อย ๆ ตกลงมาเองอย่างผิดธรรมชาติ นี่อาจเป็นสัญญาณของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน
5. พูดติดขัด ออกเสียงลำบาก (S-Speech)
การพูดติดขัดหรือปัญหาในการออกเสียงมักเกิดขึ้นกะทันหันเช่นเดียวกับอาการอื่น แต่ปัญหาในการพูดของคนที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมองสามารถเป็นอาการที่เกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการพูดทำให้มีอาการ พูดติดขัด เปล่งเสียงลำบากขึ้น ออกเสียงไม่ชัด พูดติดอ่าง พูดตะกุกตะกัก
6. อาการส่วนใหญ่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน (T-Time)
เมื่อเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน เนื้อเยื่อสมองจะขาดเลือดกะทันหันส่งผลให้ระบบประสาทต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างฉับพลัน หากคนใกล้ตัวเรามีสัญญาณ BE FAST หรือเกิดขึ้นกับเราเอง ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะการรักษาภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก หลังจากมีอาการมีความสำคัญต่อการรักษาชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก หากช้าไปกว่านั้นอาจส่งผลให้เซลล์สมองตายและฟื้นตัวยากขึ้น
อาการอื่น ๆ ของโรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากสัญญาณ BE FAST ที่เป็นอาการที่กะทันหันและชัดเจนแล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ ของโรคหลอดเลือดสมองที่เราหากเราสังเกตได้เร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจากความรุนแรงของโรคได้ เช่น
7. อาการชาในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนอกจากอาการอ่อนแรงในกล้ามเนื้อต่าง ๆ และบนใบหน้าแล้ว อาจมีอาการชาในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เหมือนกัน ซึ่งอาการชานั้นหมายถึงความรู้หน่วง ๆ รู้สึกว่าผิวหนังหนาขึ้น หรือรู้สึกซ่า ๆ คล้ายอาการคันจากเข็มทิ่ม จากไฟช็อต อาจเกิดขึ้นที่ใบหน้า มือ เท้า แขน เป็นต้น
8. รู้สึกสับสน มึนงง
จากผลกระทบของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตันที่สมองบริเวณที่เกี่ยวกับความคิด การตัดสินใจ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง รู้สึกสับสน มึนงง ไม่สามารถคิด หรือทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ตามปกติ เช่น สับสนสถานที่ สันสนวันเวลา จำคนใกล้ตัวไม่ได้
9. มีปัญหาในการเข้าใจภาษา
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนอกจากจะมีปัญหาในการควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อพูดหรือออกเสียงแล้ว อาจมีอาการที่เกี่ยวกับการเรียบเรียงความคิดและความเข้าใจภาษาหรือตัวเลข เช่น อาการนึกคำพูดไม่ออก พูดวกวน เรียบเรียงคำพูดผิดธรรมชาติหรือผิดความหมาย เป็นต้น
10. ปวดหัวอย่างรุนแรง
ปวดหัวเป็นอาการที่อาจมีสาเหตุได้จากหลายอย่าง สำหรับอาการปวดหัวจากโรคหลอดเลือดสมองมักเป็นการปวดหัวที่รุนแรงฉับพลัน โดยเฉพาะคนที่ปวดหัวฉับพลันโดยที่ไม่เคยมีประวัติการรักษาและหาสาเหตุไม่ได้ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุให้เร็วที่สุด
สรุป 10 สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง
ความสำคัญของการรู้ทันอาการต่าง ๆ ของโรคหลอดเลือดสมองนั้นมาจากความวิกฤตของโรคโดยเฉพาะ หากเกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลันจากการอุดตันของเส้นเลือดสมอง และภาวะเลือดคั่งในสมองจากเส้นเลือดในสมองแตก หากเราสามารถสังเกตอาการเด่น ๆ ของโรคนี้ได้เร็วและขอความช่วยเหลือ หรือรีบพาผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา เพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากความพิการได้
Cr. โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว
สัญญาณ BE FAST เป็นหลักปฏิบัติเพื่อรับมือกับโรคหลอดเลือดสมองฉุกเฉิน ประกอบไปด้วย การสังเกตอาการ 6 อย่าง ดังนี้
1. สูญเสียการทรงตัว (B-Balance)
การสูญเสียการทรงตัวมักเกิดขึ้นจากผลกระทบของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตันในตำแหน่งสมองที่เกี่ยวกับทักษะการทรงตัวและการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่าง ๆ คนที่มีอาการสูญเสียการทรงตัวสังเกตได้จาก การเดินเซ คล้ายกับว่าเดินสะดุดอะไรบางอย่างอยู่บ่อย ๆ นั่งหรือยืนไม่มั่นคง ลุกออกจากเก้าอี้หรือเตียงลำบาก ต้องพยายามจับราวหรือกำแพงตลอดเวลา
2. ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด (E-Eyes)
การมองเห็นของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาการที่พบบ่อยมักเป็นอาการตาพร่ามัวกะทันหัน แต่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองยังอาจมีอาการอื่น ๆ เกี่ยวกับดวงตาได้อีก เช่น
– มองเห็นภาพด้านข้างไม่ชัดในตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
– การมองเห็นลดลงหรือสูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน
– มองเห็นภาพซ้อน
– มองเห็นภาพบิดเบี้ยว
– มองเห็นภาพมืดหรือสว่างขึ้นอย่างเฉียบพลัน
3. ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว (F-Face)
ในหน้าเบี้ยวปากเบี้ยวเป็นอาการโรคหลอดเลือดสมองที่ชัดเจนมากอาการหนึ่ง เพราะมักเกิดขึ้นทันทีหลังเกิดเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน อาการนี้เกิดจากผลกระทบที่สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งทำงานได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้มุมปากตก ปากเบี้ยว ยิ้มไม่เท่ากัน ยักคิ้วไม่เท่ากันทั้งสองข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งยักคิ้วไม่ขึ้น หนังตาปิดได้ไม่สนิท น้ำลายไหลออกจากมุมปาก เป็นต้น
4. แขนขาอ่อนแรง (A-Arms)
อาการนี้มักมีสาเหตุเดียวกันกับอาการใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แต่ปัญหาในการควบคุม กล้ามเนื้อจะเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดที่แขนหรือขา หากรู้สึกถึงอาการอ่อนแรงผิดปกติลองทดสอบด้วยการยกแขนทั้งสองข้างพร้อมกัน หากมีแขนใดข้างหนึ่งค่อย ๆ ตกลงมาเองอย่างผิดธรรมชาติ นี่อาจเป็นสัญญาณของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน
5. พูดติดขัด ออกเสียงลำบาก (S-Speech)
การพูดติดขัดหรือปัญหาในการออกเสียงมักเกิดขึ้นกะทันหันเช่นเดียวกับอาการอื่น แต่ปัญหาในการพูดของคนที่มีอาการโรคหลอดเลือดสมองสามารถเป็นอาการที่เกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการพูดทำให้มีอาการ พูดติดขัด เปล่งเสียงลำบากขึ้น ออกเสียงไม่ชัด พูดติดอ่าง พูดตะกุกตะกัก
6. อาการส่วนใหญ่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน (T-Time)
เมื่อเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน เนื้อเยื่อสมองจะขาดเลือดกะทันหันส่งผลให้ระบบประสาทต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างฉับพลัน หากคนใกล้ตัวเรามีสัญญาณ BE FAST หรือเกิดขึ้นกับเราเอง ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะการรักษาภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก หลังจากมีอาการมีความสำคัญต่อการรักษาชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก หากช้าไปกว่านั้นอาจส่งผลให้เซลล์สมองตายและฟื้นตัวยากขึ้น
อาการอื่น ๆ ของโรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากสัญญาณ BE FAST ที่เป็นอาการที่กะทันหันและชัดเจนแล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ ของโรคหลอดเลือดสมองที่เราหากเราสังเกตได้เร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจากความรุนแรงของโรคได้ เช่น
7. อาการชาในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนอกจากอาการอ่อนแรงในกล้ามเนื้อต่าง ๆ และบนใบหน้าแล้ว อาจมีอาการชาในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เหมือนกัน ซึ่งอาการชานั้นหมายถึงความรู้หน่วง ๆ รู้สึกว่าผิวหนังหนาขึ้น หรือรู้สึกซ่า ๆ คล้ายอาการคันจากเข็มทิ่ม จากไฟช็อต อาจเกิดขึ้นที่ใบหน้า มือ เท้า แขน เป็นต้น
8. รู้สึกสับสน มึนงง
จากผลกระทบของเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตันที่สมองบริเวณที่เกี่ยวกับความคิด การตัดสินใจ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง รู้สึกสับสน มึนงง ไม่สามารถคิด หรือทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ตามปกติ เช่น สับสนสถานที่ สันสนวันเวลา จำคนใกล้ตัวไม่ได้
9. มีปัญหาในการเข้าใจภาษา
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนอกจากจะมีปัญหาในการควบคุมกล้ามเนื้อเพื่อพูดหรือออกเสียงแล้ว อาจมีอาการที่เกี่ยวกับการเรียบเรียงความคิดและความเข้าใจภาษาหรือตัวเลข เช่น อาการนึกคำพูดไม่ออก พูดวกวน เรียบเรียงคำพูดผิดธรรมชาติหรือผิดความหมาย เป็นต้น
10. ปวดหัวอย่างรุนแรง
ปวดหัวเป็นอาการที่อาจมีสาเหตุได้จากหลายอย่าง สำหรับอาการปวดหัวจากโรคหลอดเลือดสมองมักเป็นการปวดหัวที่รุนแรงฉับพลัน โดยเฉพาะคนที่ปวดหัวฉับพลันโดยที่ไม่เคยมีประวัติการรักษาและหาสาเหตุไม่ได้ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุให้เร็วที่สุด
สรุป 10 สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง
ความสำคัญของการรู้ทันอาการต่าง ๆ ของโรคหลอดเลือดสมองนั้นมาจากความวิกฤตของโรคโดยเฉพาะ หากเกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลันจากการอุดตันของเส้นเลือดสมอง และภาวะเลือดคั่งในสมองจากเส้นเลือดในสมองแตก หากเราสามารถสังเกตอาการเด่น ๆ ของโรคนี้ได้เร็วและขอความช่วยเหลือ หรือรีบพาผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษา เพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากความพิการได้
Cr. โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา
#รู้ไว้ใช่ว่า_สุขภาพ #รู้ไว้ใช่ว่า #ความรู้รอบตัว